จิตวิทยา
ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมันได้เขียนไว้ว่า การรับรู้ของมนุษยชาติแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับจิตสำนึก (Consciousness) และจิตใต้สำนึก (Subconsciousness)
โดยระดับจิตสำนึก หมายถึงการรับรู้ในขณะที่ยังรู้สึกตัว สามารถสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วค่อยผ่านไปยัง กระบวนการไตร่ตรองข้อมูลว่าสิ่งที่เข้ามานั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ส่วนระดับจิตใต้สำนึกเป็นการรับรู้โดยไม่ผ่านการกรองข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่เข้ามาจะไปสู่เซลล์สมองโดยผู้รับไม่รู้ตัว และพร้อมที่จะกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ได้ต่างๆ นานา
ฉะนั้นการส่งข้อมูลผ่านจิตใต้สำนึกจึงสามารถทำได้ตลอดเวลา และตรงนี้เองจึงทำให้มีการนำประโยชน์ของการสื่อข้อมูลผ่านจิตใต้สำนึก มาใช้ ภายใต้นวตกรรมใหม่ที่ชื่อ Subliminal Tape แล้ว Subliminal Tape คืออะไร ?
ถามมาอย่างนี้ก็คงต้องบอกว่าเราเองก็ไม่รู้เท่ากับคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรอก เพราะผู้ที่จะมาให้คำตอบกับเราได้รับรู้ผ่านจิตสำนึกในคราวนี้ เป็นถึงเพทย์ระดับผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบจิตประสาท จากภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์ ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข ผู้ที่ดำเนินการนำเอา Subliminal Tape เวอร์ชั่นภาษาไทยเข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งคุณหมอประกอบ ได้เล่าให้เราฟังถึงที่มาเกี่ยวกับ Subliminal Tape ไว้ว่า " Subliminal Tape ผมเชื่อว่าต้องมีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งต้นตอของทฤษฎีนี้ก็คือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมัน เขาได้บอกว่าคนเรามีการรับรูอยู่สองระดับ คือ จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก จิตสำนึก คือ การรับฟังข้อมูลแล้วได้ติดตามไป แต่สำหรับจิตใต้สำนึกนั้นก็คือ การับรูที่เราไม่รู้ตัว และการรับรู้พวกนี้มีทั้งหมด 5 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรารับรู้ในขณะที่เราไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่าง ขณะที่คน 2 คนคุยกัน การรับรู้โดยจิตใต้สำนึกก็จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างความรู้สึกถึงความนุ่ม ความแข็งของเก้าอี้ อากาศในห้อง ซึ่งถ้าไม่มีใครบอกก็จะไม่มีใครรู้ตัว แต่พอพูดปั๊บก็จะนึกถึงเสื้อผ้า ที่เราสวมใส่ว่ามีความนุ่มหรือแข็งขนาดไหน ซึ่งจริงๆ แล้ว เพราะโดยธรรมชาติสมองของเราจะรับรู้ได้ทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน เพื่อที่เราจะได้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม "
จากการค้นพบภูมิหลังของแพทย์ผู้นี้ก็พบว่า คุณหมอประกอบ จบการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อปี 2524 และด้วยความที่เป็นคนให้ความสนอกสนใจงานทางด้านจิตเวช มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงเป็นเหตุให้คุณหมอไม่เคยลังเลเลย ที่จะเลือกเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง ของภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ตามที่ใจรักจนกระทั่งจบออกมาในปี 2530 แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้บินลัดฟ้าไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทางด้านการใช้ยา ที่เกี่ยวกับจิตประสาทและความจำ ที่ University of London ประเทศอังกฤษ
และที่เมืองผู้ดีนี้เองทำให้คุณหมอได้พบปะกับโฉมหน้าของ Subliminal Tape การสื่อสานผ่านจิตใต้สำนึกอย่างเป็นทางการ
" ในช่วงที่ผมเรียนปริญญาเอกในเรื่องของความจำอยู่ที่อังกฤษ มันก็จะมี Part หนึ่งที่ผมจะต้องศึกษาอยู่ก็คือ การรับรู้หรือจำอะไรได้ โดยไม่รู้ตัว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Perception Without Awaress ซึ่งหลักการตรงนี้เป็นการใส่ข้อมูลเข้าไปในจิตใต้สำนึก และระหว่างที่อยู่ประเทศอังกฤษ ผมได้ไปช่วยทำรายการวิทยุให้กับ BBC โดยไปเป็นผู้ประกาศอยู่พักหนึ่ง และตรงนี้เองที่ทำให้ผมได้มีโอกาส เข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือเครื่องไม้ในสตูดิโอหลายอย่าง
อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้เข้าไปเดินในร้านหนังสือแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน แล้วก็เหลือบไปเห็นเทหม้วนหนึ่งที่หน้าปกเขียนไว้ว่า ' Subliminal Tape ' ซึ่งผมก็คิดอยู่ในใจว่า ' Subliminal ' มันแปลว่าอะไร ผมก็เลยลองอ่านดูก็เลยได้คำตอบว่า มันเป็นเทปที่สื่อข้อมูล เข้าไปในจิตใต้สำนึก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ การใส่ข้อมูล เข้าไปในสมองโดยไม่รู้ตัว
และที่อังกฤษมี ' Subliminal Tape ' เป็น 10ๆ เรื่องเลยนะ ยกตัวอย่างเช่น คลายเครียด เลิกบุหรี่ ลดนำหนัก นอนไม่หลับ เพิ่มความจำ เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง เลิกผัดวันประกันพรุ่ง เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งผมก็ลองซื้อมาฟังดูแล้วพบว่า จริงๆ แล้ววิธีการของเขาก็คือ การใส่ข้อมูลลงไปในเทปแล้วเอาเสียงเพลงกลบไว้ ซึ่งข้อมูล ก็จะเป็นไปตามเรื่องนั้น ม้วนหนึ่งก็เรื่องหนึ่ง ตรงนี้ผมก็คิดว่า ในเมื่อฝรั่งเขาทำแล้วได้ผล คนไทยก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน
และด้วยความที่ผมมีพื้นฐานในการเป็นจิตแพทย์บวกกับความรู้ทางด้าน การใช้เครื่องไม้เครื่องมือในสตูดิโอ ก็เลยเริ่มศึกษาและเริ่มทำ ' Subliminal Tape ' ขึ้นมา แล้วทีนี้ถ้าคนไทยเอาเทปของฝรั่งไปฟัง มันก็คงไม่ได้ผลมากนัก เพราะว่าคนไทยยังคิดเป็นภาษาไทย จิตใต้สำนึกเรายังรับรู้เป็นภาษาไทย ผมก็เลยต้องดัดแปลง ข้อมูลจากภาษาอังกฤษให้ออกมาเป็นภาษาไทย โดยแรกๆ ผมก็ทำให้กับพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ BBC และนักเรียนปริญญาโท-เอก ที่อังกฤษฟังกัน "
คราวนี้มาดูหลักการในส่วนของจิตใต้สำนึกที่ Subliminal Tape เข้ามามีบทบาทกันบ้างดีกว่า ดูๆ ไปมันจะคล้ายกับการสะกดจิตมั้ยนะ
" ถ้าถามว่าจะเหมือนกับการสะกดจิตมั้ย คือ มันอย่างนี้นะครับ จะต่างกันเพียงนิดเดียว ตรงที่การสะกดจิต จะต้องผู้สะกดแล้วข้อมูลที่ได้ไป จะเข้าจากจิตสำนึกไปสู่จิตใต้สำนึก แต่วิธีนี้ไม่มีผู้สะกดมีแต่ม้วนเทป ซึ่งข้อมูลที่ได้ไปจะไม่มีการกลั่นกรองไม่มีการ Censorship มันจะเข้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งต่างจากการรับรู้โดยผ่านจิตสำนึก อย่างการสะกดจิต สมมติว่าถ้ามีคนมาสะกดจิตผมแล้วผมไม่เชื่อ ผมต่อต้าน เขาก็จะสะกดผมไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการรับรู้ผ่านจิตใต้สำนึก ฟังเทปเขาก็จะไม่รู้สึกตัว เพราะว่าเขาจะไม่ได้ยินข้อมูลตรงนี้ เสียงเพลงมันกลบ แต่ข้อมูลยังมีอยู่ แล้วข้อมูลตรงนี้ก็จะเข้าไป สู่จิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติ ถามว่าเราจะต่อต้านได้มั้ย ก็ขอเรียนตามตรงว่า ต่อต้านไม่ได้ ฉะนั้นตรงนี้คือความแตกต่าง
จริงๆ แล้ว Subliminal Tape ไม่จำเป็นเลยที่ผู้ฟัง จะต้องมีปัญหาทางด้านจิตเวช อย่างเทปผ่อนคลาย ฟังเฉยๆ มันก็ผ่อนคลายได้ หรือมีความเครียดอยู่มันก็ช่วยผ่อนคลายได้ ซึ่งข้อดีของ Subliminal Tape คือ ไม่จำเป็นว่าขณะฟังจะต้องอยู่ในบรรยากาศ ที่สงบเยือกเย็นถ้าเป็นผู้ใหญ่อยากจะผ่อนคลายก็ขับรถไปเปิดฟังไป มีเพื่อนผมคนหนึ่งเอาเทปไปฟังขณะขับรถ ใครจะปาดจะแซง ก็สบายช่างเขา เราขับของเราได้เรื่อยๆ
ที่สำคัญในการฟัง Subliminal Tape ไม่จำเป็นต้องตั้งใจฟัง เพียงแค่ให้เสียงเพลงผ่านหูเท่านั้นก็พอ เพราะข้อมูลที่เสียงเพลงกลบไว้ จะเข้าสู่โสตประสาทไปสร้างเป็นกระบวนการโดยอัตโนมัติ โดยที่เขาไม่รู้ตัว ซึ่งเขาก็ได้ตรงนี้ตอกย้ำ เช่นแต่เดิมไม่เชื่อว่า แม่รักเขาหรือเปล่านะ เขาก็จะเริ่มมีความมั่นใจขึ้นทุกวี่ทุกวัน ทุกครั้งที่ฟังนานๆ เข้าก็ตกผลึกสร้างความมั่นใจให้กับเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็จะเลิกพฤติกรรมที่ดึงดูความสนใจจากคุณแม่ คุณพ่อ คุณครู ความเครียดก็ลดลงด้วย พอความเครียดลดลง สมองก็ว่างพร้อมที่จะเรียน ซึ่งเด็กก็จะสามารถที่จะใช้ไอคิวได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ทำให้คนอื่นไอคิวต่ำฟังแล้วไอคิวสูงนี่มันทำไม่ได้นะครับ "
พอกลับมาเมืองไทยหลังจากจบการศึกษา แนวคิดของคุณหมอ ที่จะทำ Subliminal Tape ภาคภาษาไทยก็ได้เริ่มขึ้น
" พอผมกลับมาเมืองไทย ผมก็มีความตั้งใจว่าจะลองมาทำวิจัยดู และทำไปได้แค่ 4 เรื่อง คือ เรื่องผ่อนคลาย ช่วยความจำ นอนไม่หลับ และเรื่องเด็กดีมีสุข ที่ช่วยให้พฤติกรรมของเด็กกลับมาสู่แนวทาง ที่มันควรจะเป็น
อย่างในเรื่องการพัฒนาความจำ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วถ้าเราตั้งสมมติฐาน โดยตั้งเงื่อนไขว่าสมองของคนๆ นั้นปกติ คนที่จำไม่ได้ดีแปลว่า สมองของเขาใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ มีความเครียดทางสุขภาพจิต มีความวิตกกังวลเข้ามาบั่นทอน ฉะนั้นสมองที่เคยมี 100% เหลือไม่ถึง 100 ซึ่งเรื่องที่มาบั่นทอนมันก็จะมีแกนอย่างเดียวกัน นั่นก็คือ เรื่องของจิตใจหรือเรื่องของจิตใต้สำนึก
ในเมื่อเราสามารถไปสู่จิตใต้สำนึกได้ปุ๊บ เราก็สื่อเข้าไปแก้ ในเรื่องของจิตใจล้างในสิ่งที่เป็นภาพลบในจิตใต้สำนึกของเขาให้หายไป เมื่อลบล้างปุ๊บสมองก็จะกลับมา 100% อย่างที่เขาควรจะมี และความจำของเขาก็จะดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถทำให้เซลล์สมองกลับมาหนุ่มๆ สาวๆ เหมือนเดิมมันก็คงเป็นไปไม่ได้
มีคนถามว่า ผลตรงนี้จะอยู่นานหรือเปล่า บอกตามตรงนะครับว่า ผมไม่ทราบแต่เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยของฝรั่งแล้ว พบว่า ข้อมูลที่เข้าไปอยู่ในความทรงจำโดยไม่รู้ตัว มันจะอยู่ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นที่ฝรั่งให้จำศัพท์ชุดหนึ่ง แล้วถามก็ยังจำได้อยู่ เสร็จแล้วปล่อยไม่ให้ผ่านหูผ่านตาศัพท์ชุดนี้อีกเลย อีกอาทิตย์หนึ่ง มาวัดความจำศัพท์ที่มีอยู่หายไปแล้วครับ อันนี้เมื่อเทียบเคียงแล้ว ก็น่าจะคล้ายๆ กัน คือถ้าเรายังฟังอยู่ก็โอเคยังมีผล แต่พอหยุดสักอาทิตย์ ก็มักจะหายไปแล้ว ยกเว้นเราฟังมานานแล้วมันตกผลึก ตกตะกอน เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว ตรงนั้นอาจที่ให้ระยะเวลาในการจำยาวขึ้นหน่อย
ถ้าต้องการจะจำศัพท์อะไรก็ตาม วิธีที่ทุ่นแรงที่สุดก็คือ อัดเทปทำเป็น Subliminal แล้วทำการท่องจำศัพท์ไปด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นการท่องจำ โดยจิตสำนึกนะครับ แต่ที่เข้าไปทางหูนั้นมันจะเป็นจิตใต้สำนึก ที่มันจะเสริมเข้าไป ถ้าเป็นจิตสำนึกท่องจำทีเดียวไม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะจำศัพท์ได้ประมาณ 7-8 คำอย่างที่บอก แต่ถ้าเราเปิดเทปไปด้วย มันจะช่วยเสริมแรง ฉะนั้นมันจะสามารถทำให้เพิ่มความจำศัพท์ที่เยอะขึ้น เพราะมันเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เข้าไปโดยอัตโนมัติโดยที่เรา ไม่ต้องไปออกแรงเลย
สิ่งที่ผมทำในเทปเพื่อช่วยเพิ่มความจำ ผมทำที่แกนกลาง ซึ่งแกนกลางที่ว่านี้คือ การลบความเครียด ลบความไม่เชื่อมั่น ในความจำของตัวเอง ลบเรื่องรกๆ ที่อยู่ในเนื้อที่ของความจำให้ออกไป ผมไม่ได้ทำเป็นเรื่องๆ ว่าเป็นศัพท์ชุดนี้นะจะต้องจำให้ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ความบ่อยครั้งในการท่อง มันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ว่าถ้ายิ่งท่องบ่อย ความจำก็แม่นยำมากขึ้น "
Subliminal Tape ที่คุณหมอได้นำมาใช้ในบ้านเรา จนเป็นที่ฮือฮาของเหล่าผู้ปกครอง ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการกำราบ เจ้าหนูน้อยจอมซนของคุณพ่อ คุณแม่ให้กลับกลายเป็นคุณหนูผู้น่ารัก
" ในเรื่องที่ช่วยพฤติกรรมเด็กนั้น มันเกิดจากสมมติฐานที่ว่า ทุกคนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากธรรมดาอย่างเช่น การพูดจาหยาบคาย ดื้อรั้น ดื้อเงียบ ซึ่งจุดที่เขาอยากได้ความสนอกสนใจ จากคุณพ่อคุณแม่ คุณครู หรือคนอื่นๆ ที่เป็นที่รักของเขา เขาถึงได้แสดงออกอย่างนั้น ซึ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่อยากจะได้รับความสนใจ จากคนรัก สมมติว่าไปชอบผู้หญิงสักคนหนึ่ง เราก็ทำตามอย่าง ที่ผู้ชายเขาจีบกัน เช่น ให้ของขวัญ นัดชวนกันไปกินข้าว ดูหนัง แต่เด็กเขาไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เด็กรู้เพียงแต่ว่า พฤติกรรมบางอย่างถ้าทำแล้วพ่อแม่ต้องหันมาสนใจ เช่น ร้องโวยวายขึ้นมา หรือทำตัวดื้อ เพราะเด็กคิดว่าเมื่อทำอย่างนี้แล้ว จะได้รับความสนใจจากคนที่เขารัก ตรงนี้เด็กเขาเรียนรู้ได้ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
ทำไมเขาถึงอยากได้รับความสนใจ ก็เพราะว่า เขามีความรู้สึกว่า เขาได้ความรักที่ไม่เพียงพอ อยากที่จะได้มากกว่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าพ่อแม่สามารถเติมเติมความรักให้เขารู้สึกพอ เขาก็จะไม่มีพฤติกรรมที่ดึงดูดความสนใจ หรือพฤติกรรมที่เราไม่ต้องการ ฉะนั้นการทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนด้วยจิตใต้สำนึก จะต้องทำให้เขา เกิดความภูมิใจและมั่นใจตัวเองว่าได้ความรักที่เพียงพอ
แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กรู้สึกว่าเขาได้รับความรักพอเพียง บางคนคุณพ่อคุณแม่ใส่เข้าไปเต็มที่แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า ได้รับความรักไม่พอ บางคนคุณพ่อคุณแม่ให้นิดเดียวแต่เด็กรู้สึกพอ ส่วนเด็กที่คิดว่าได้ไม่พอ เราก็ใส่ข้อมูลลงไปว่าเขาเป็นที่รัก จากนั้นผมก็มาพิสูจน์สมมติฐานว่า ตรงนี้มันเป็นจริงหรือเปล่า ผมก็เลยทำเทปขึ้นมา 2 ม้วน โดยม้วนแรกจะเป็นเพลงเปล่าๆ ส่วนอีกม้วนก็เป็นเพลงที่มีข้อมูลสู่จิตใต้สำนึกที่จะมีข้อมูลบอกว่า เขาเป็นที่รักนะ ทุกคนรักเขานะ เริ่มตั้งแต่ใกล้ชิดที่สุดคือคุณแม่ คุณพ่อ คุณครู ญาติพี่น้อง บอกเขาไปในเทปม้วนนี้ "
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วมาดูในส่วนของการวิจัยที่คุณหมดใช้ Subliminal Tape มาเป็นสื่อช่วยในการพัฒนาอุปนิสัยเด็กกันบ้างดีกว่า ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้ทีมวิจัยได้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
" การวิจัยในเด็กอนุบาลเราใช้ระยะเวลาในการทำตลอดทั้ง 3 เดือน แล้วเราถึงค่อยมาวัดผล ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ในช่วงระหว่าง 1 เดือน 2 เดือน เด็กจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นหรือยังเพราะเราวัดทีเดียวตอน 3 เดือนเลย
ในการวิจัยก็จะใช้ช่วงเวลาบ่ายโมง ซึ่งเด็กอนุบาลพอกินข้าวเสร็จ เขาก็จะนอน ตอนนอนก็จะเปิดเพลงให้ฟังทีนี้ แทนที่จะเปิดเพลง ที่เขาฟังทุกวันก็จะเปลี่ยนเอาเทปม้วนนี้ใส่เข้าไปแทน และเพื่อไม่ให้การวิจัยเป็นอคติ ก็จำเป็นต้องคละ เพื่อที่จะได้ไม่รู้ว่า ม้วนไหนเป็นม้วนไหน โดยให้ห้องนึงฟังม้วนที่เป็นเพลงเปล่าๆ ส่วนอีกห้องหนึ่งฟังเพลงเหมือนกัน แต่มีข้อมูลที่ไปสู่จิตใต้สำนึก จนการวิจัยเสร็จสิ้นถึงค่อยมาเปิดดูว่าเป็นม้วนไหน
เวลาเราคำนวณสถิติในการวิจัยเราจะคำนวณเป็นกลุ่ม เราไม่ได้แยกคำนวณเป็นทีละคนๆ โดยเท่าที่คร่าวๆ ถ้าทั้งกลุ่ม ออกมาดีขึ้น ถ้าพูดถึงในหลักวิชาสถิติโดยตรง ซึ่งผลปลายทางของกลุ่มดีจริง แต่ถ้ามาแยกเป็นรายบุคคลก็มีบางคนดีขึ้นมาก บางคนธรรมดา บางคนแย่ลงนิดๆ แต่โดยรวมเมื่อเอามาบวกลบกันแล้ว ผลที่ได้มันบวกครับ ฉะนั้นในทางปฏิบัติจริงๆ บางคนเอาไปฟังอาจเฉยๆ บางคนฟังแล้วดีขึ้น แต่ติดลบไม่น่าจะมี เพราะข้อมูลที่ใส่เข้าไป มันเป็นทางบวกหมด
ผู้ประเมินผลการวิจัยในเด็กที่ทำมาก็คือ คุณครู ซึ่งจริงๆ แล้ว คุณครูก็ไม่ทราบว่าเราทำอะไรอยู่ โดยก่อนที่เราจะเอาม้วนใหม่ให้เด็กฟัง เราก็จะให้คุณครูประเมินผลเด็กนักเนียนในห้องก่อน พอประเมินเสร็จ เราก็เอาข้อมูลตรงนี้มาแล้วก็เอาเทปที่วิจัยนี้ให้เขาฟังไป เขาก็ไม่รู้พอครบ 3 เดือนปั๊บก็มาประเมินกันอีก ซึ่งโดยความเป็นจริง ครูเองจะมีการประเมินผลของเด็กนักเรียนเป็นระยะๆ อยู่แล้ว ฉะนั้นเราก็ไม่ได้ไปทำให้แผนการประเมินผลของเขาเปลี่ยนไป
ซึ่งผลปรากฏว่าเด็กในกลุ่มที่ฟังเพลงเปล่าๆ พฤติกรรมจะดีขึ้นหน่อยนึง เพราะว่าดนตรีมีส่วนช่วยชโลมจิตใจ พัฒนาจิตใจ เสริมสร้างไอคิวให้ดีขึ้น มีอารมณ์สงบ เยือกเย็น แต่กลุ่มม้วนที่มีข้อมูล ผลที่ได้ปรากฏว่า เด็กเขามีพฤติกรรมที่ดีขึ้น แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งผมว่าผลที่ออกมานี้มันสามารถที่จะพิสูจน์สมมติฐานได้
และที่น่าประหลาดใจที่สุด ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้ก่อนเลย นั้นก็คือ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นปั๊บ สติปัญญาการเรียน ก็ดีขึ้นตามด้วยครับ ถ้าเป็นกราฟมันก็จะวิ่งไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น และถ้าหากเด็กได้ฟังต่อไปเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็น่าจะดีขึ้นกว่านี้อีก "
มีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ว่า ข้อมูลที่บรรจุอยู่ในเทปนั้น พูดอะไรให้กับผู้ฟังบ้างนะ ถึงได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ให้เห็นผลกันแบบนี้
" ภายในเทปจะมีข้อมูลว่าอย่างไร อย่างในเรื่องช่วยความจำได้แม่น จำได้นาน จำได้ละเอียด โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 35-40 ปีขึ้นไป ชักจะไม่ค่อยมีความมั่นใจในเรื่องของความจำของตัวเอง และความมั่นใจนี้เองจะทำให้ประสิทธิภาพความจำนั่นลดลง เราก็จะต้องทำการลบล้างความไม่มั่นใจนี้ออกไปซะ เพื่อให้เขากลับมามั่นใจไม่รู้ตัว แล้วเขาก็จะจำได้ดีขึ้น
ม้วนผ่อนคลายเราก็จะบอกว่า ให้ผ่อนนอคลายนะ มองโลกในแง่ดี เป็นมิตรกับใครต่อใคร ซึ่งเป็นลักษณะที่เอาข้อมูลในด้านบวกใส่เข้าไป ส่วนม้วนที่ช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็ก ก็จะพูดว่า เขาคือที่รักไล่ตั้งแต่ผู้เป็นที่รักที่สุด ซึ่งโดยธรรมชาติก็คือ คุณแม่ คุณพ่อ แล้วก็คุณครู ญาติพี่น้อง จนมาถึงเพื่อน "
การฟังเพลงหรือดนตรีที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลที่ได้มันก็คงหนีไม่พ้น ความเบื่อหน่ายเป็นแน่ ไม่เฉพาะแต่ Subliminal Tape หรอก บรรดาพวกเพลงดังจากค่ายเทปต่างๆ มันก็น่าเบื่อกันทั้งนั้นแหละ ถ้าได้ฟังกันบ่อยๆ
" จะมีอาการเบื่อไหมถ้าได้ฟังบ่อยๆ ตรงนี้เป็นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้น เพราะว่า เป็นของธรรมดาม้วนเดียวกันถ้าฟังมันทุกวันๆ มันก็ต้องเกิดความเบื่อแน่นอน เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็คือ เปลี่ยนเพลงแต่ใช้ข้อมูลเดิม แต่ผมยังไม่มีเวลาที่จะทำในหลายๆ Version ที่ผมทำมาในเรื่องเดียวกันก็จะมีเพลงอยู่แค่ Version เดียว
ในการทำเทปกว่าจะได้สักม้วนนึงมันยากมากเลยนะครับ เพราะผมจะต้องไปรวบรวมก่อนว่า ปัญหาหรือแกนหลักมันอยู่ตรงไหน พอรู้ปั๊บก็มาดูว่า วิธีการแก้ปัญหาที่แกนหลักจะเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้เขียนบทพูดออกมาได้ต่อไปก็จะเป็นส่วนของการหาเพลง ซึ่งผมก็จะต้องเลือกเพลงที่มันตรงกับเรื่องนี้มาจากนั้นก็จะต้องมานั่งมิกซ์ ซึ่งเครื่องมือที่ผมมีอยู่นั้น คือ ผมเองก็ไม่ใช่ระดับมืออาชีพ มันก็ต้องมีผิดพลาดกันอยู่เสมอ ก็ต้องมานั่งแก้ทำกันกว่าจะเสร็จเนี่ย ใช้เวลานานเลยนะครับ เพราะฉะนั้นกว่าจะได้เทปสักม้วน มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับและนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมแต่ละเรื่อง ผมถึงมีแค่ Versionเดียว ซึ่งต้องยอมรับว่าเพลงหนึ่ง Version ถึงจะเพราะแค่ไหน ฟังบ่อยๆ มันก็จะเกิดอาการเบื่อได้ในที่สุด จริงๆ แล้วถ้าต้องการได้ผลที่สมบูรณ์ในการฟังควรจะมีมากกว่าหนึ่ง Version แต่ใช้ข้อมูลเดียวกัน
ในกรณีที่เด็กไม่ชอบฟัง เทคนิคก็คือต้องเลือกเพลงที่เขาชอบ ซึ่งรสนิยมในการฟังเพลงของทุกคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบเพลงประเภทหนึ่ง บางคนชอบเพลงอีกประเภทหนึ่ง มันคล้ายๆ กับการกินผัก ผสมอะไรที่ทำให้รสชาติกลมกล่อม หรืออาจยังไม่ต้องบดก็ได้ เอาเป็นแค่น้ำแกงผักให้เขากินแต่น้ำก่อน ให้รู้ว่ารสชาติผักนี้เป็นอย่างนี้นะแล้วขั้นต่อไปก็อาจบดผักให้เละๆ หน่อยกินง่ายไม่ต้องเคี้ยวจนในที่สุดเขาก็รู้ว่า อ้อ...ผักเป็นอย่างนี้นี่เอง "
และถ้าจะนำ Subliminal Tape มาใช้กับเด็กมีบุคลิกภาพที่เรียบร้อยอยู่แล้ว ซึ่งคุณหมอก็ได้บอกว่าตรงนี้มันคล้ายกับการเสริมวิตามินเท่านั้นแหละ
" เด็กที่ปกติไม่ซุกซนฟังแล้วมักก็เหมือนกินวิตามินอยู่เหมือนกัน ถ้าคนๆ นั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามรับประทานอาหารครบหมู่ ถามว่าจำเป็นต้องรับวิตามินเพิ่มมั้ย ก็ต้องตอบว่าไม่จำเป็นเลยครับ แต่ถ้ามั่นใจว่าครบหรือเปล่าจะฟังเหมือนกับเป็นการเสริมวิตามิน ก็ได้ไม่เสียหายอะไร
ถ้าหากใช้ Subliminal Tape ร่วมกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ถ้าเป็นม้วนผ่อนคลาย หรือเพิ่มความจำ ตรงนี้มันก็สามารถฟังด้วยกันได้ แต่ถ้าม้วนนั้นเป็นสำหรับการพัฒนาในเด็กอนุบาลโดยเฉพาะ ผู้ใหญ่ฟังไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์หรอกครับ"
ถึงแม้จะใช้ Subliminal Tape มาปรับปรุงลักษณะนิสัย จนคิดว่าเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ถ้าหากจิตใต้สำนึกลึกๆ ยังถูกกล่อมเกลา ด้วยสิ่งแวดล้อมอย่างเดิมๆ บางทีก็ช่วยได้ในระยะที่ไม่นานหรอก
" เทปปรับปรุงลักษณะนิสัยพอประเมินผลว่าดีขึ้นแล้ว ถ้าฟังต่อไปมันก็น่าที่จะดีขึ้นนะ แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดของแต่ละคน เพราะภาษาจิตวิทยาที่บอกว่าบุคลิกภาพของนิสัยจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือ พันธุกรรม ตรงนี้เราเปลี่ยนสายพันธุ์เขาไม่ได้อยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ สิ่งแวดล้อมการเลี้ยงดู ถ้าสิ่งแวดล้อมดูไม่เปลี่ยน ต่อให้ฟังจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตก็คงลำบากอยู่เหมือนกัน สมมติว่า พ่อแม่เป็นคนบุคลิกภาพไม่ดี นิสัยไม่ดี แล้วถ่ายทอดมาสู่ลูก ก้าวร้าวอันธพาลอันนี้มันก็แก้ไขไม่ได้
วันก่อนผมไปบรรยายมีพัศดีเข้ามาพูดกับผม ซึ่งเขามีความสนใจ เกี่ยวกับ Subliminal Tapeโดยเสนอว่าจะลองเอาไปให้นักโทษฟัง ผมก็คิดว่าเออ...อยากลองดูเหมือนกัน แต่ถ้าพูดกันตามทฤษฎีแล้ว มันเป็นจิตที่ลึกมากนะครับ เพราะพวกนี้จิตใต้สำนึกของเขามันฝังรากลึก ลงไปมากจากที่เขาเรียนรู้ หรือเขาได้รับกันสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีต่อตัวเขา แล้วการที่เราจะไปเปลี่ยนเขาในเวลาสั้นๆ เนี่ย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะต้องค่อยๆ เปลี่ยน ซึ่งตรงนี้มันก็อยู่ที่ความลึกความตื้นของปัญหา ที่เราต้องการแก้ไขด้วย ยิ่งลึกเท่าไหร่ การใช้เวลามันก็ยิ่งนานเท่านั้น แต่ถ้าถามว่า พอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้มั้ย มันก็คงพอจะช่วยได้บ้าง
จุดสำคัญที่สุดของพฤติกรรมของมนุษย์นั้นก็อยู่ที่จิตใจ ซึ่งรวมไปถึงจิตใต้สำนึกด้วย ฉะนั้นถ้าเราสามารถที่ใส่ข้อมูลเข้าไป ในจิตใต้สำนึก จะเป็นข้อมูลอะไรก็ได้แล้วแต่ที่ใจเราต้องการ เลิกบุหรี่ ลดน้ำหนัก ทำให้มองโลกในแง่ดี ทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้มีความกระตือรือร้น เลิกผัดวันประกันพรุ่ง หรืออะไรก็ได้ ที่เราจะใส่ตรงนี้ ทำให้ในเรื่องกระประยุกต์ใช้มันจึงกว้างขวางมาก ใช้ได้หมดเลยครับ เพียงแต่ว่าในแต่ละเรื่องนั้น จะได้ผลมากหรือน้อย ไม่เท่ากัน เพราะว่าหัวข้อในแต่ละเรื่องมันมีความลึกต่อระดับจิตใจลึก หรือตื้นไม่เท่ากัน ถ้าผ่อนคลายอย่างเดียว ตรงนี้ง่ายมากเลยครับ เพราะมันตื้นทำเพียงแค่ให้ความทุกข์ผ่อนคลาย แต่ถ้าลึกลงไป ถึงขั้นการเปลี่ยนพฤติกรรมจากคนที่ก้าวร้าว เป็นฆาตกร ตรงนี้ยากนะครับ
และผมอยากจะบอกว่า โครงสร้างของจิตใจ กลไกของจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนเหมือนกันหมดครับ ฝรั่งถ้าได้มาเรียน พุทธศาสนา เขาจะนิพพานได้มั้ย เขาก็สามารถนิพพานได้ ถึงแม้ว่าเขาจะนับถือศาสนาอื่นมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อเขามาศึกษาศาสนาพุทธ ทำจิตใจละวางได้ทั้งอนิจจัง ไปถึงขั้นอนัตตา จิตใจเป็นแค่ส่วนกลางมีเพียงทัศนคติ วัฒนธรรมเท่านั้นที่ไม่เหมือน หรือต่างกันก็เพียงวิถีชีวิตของสังคมนั้ ๆ ซึ่งผลที่ออกมาก็ได้ดีเหมือนเดิม เพราะเขาได้แก้แบบฝรั่ง ประยุกต์แนวคิดวัฒนธรรมแบบฝรั่ง ส่วนเราแก้แบบแนวคิดวัฒนธรรมแบบไทย แต่ทั้งนี้วิธีการแก้ ก็อยู่ในเรื่องเดียวกัน แนวทางเหมือนกัน แต่คำพูดที่ใช้ต่างกัน "
มีคำถามมากมายเหลือเกินที่มักจะกล่าวอ้างถึงว่า เปิดเพลงอย่างนั้นอย่างนี้จะมาช่วยให้บุตรในครรภ์ของคุณแม่ เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ จนทำให้เราอยากจะรู้จริงๆ หน่อยล่ะว่า Subliminal Tape นี้จะเข้ามาช่วยเป็นแนวทางดีๆ ให้กับสตรีมีครรภ์ ได้หรือเปล่า
" ในกรณีที่คุณแม่ตั้งครรภ์อยู่จะฟังเทปตัวนี้ ผมก็ต้องขอเรียนตามตรงว่า ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะข้อมูลที่เราใส่เข้าไปมันเป็นคำพูด เด็กในท้องเขายังไม่เข้าใจคำพูด ฉะนั้นใส่เข้าไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ถ้าหากว่าแม่ฟังม้วนสำหรับแม่ ก็อาจเป็นประโยชน์ได้ ตรงที่ว่าอัตราการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวของร่างกาย อวัยวะของแม่เป็นสิ่งแวดล้อมของเด็ก ถ้าแม่ตกใจตลอดเวลา หงุดหงิด ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเยอะ ซึ่งเด็กในท้องเขารับรูนะครับ แม่เครียดเด็กในท้องก็จะมีแนวโน้ม ที่จะเป็นเด็กที่เครียดง่าย ทีนี้ถ้าแม่ฟังแล้วไม่เครียด เด็กอาจดี แต่ถ้าฟังสำหรับเด็กโดยตรงได้มั้ยก็ต้องบอกอีกทีว่า ไม่มีประโยชน์ครับ เด็กไม่รู้ภาษา แต่ถ้าคลอดออกมาแล้วกล่อมเกลาไปเรื่อยๆ มันก็พอได้เพราะว่าเขาเริ่มที่จะเรียนรู้ภาษาแล้ว ฉะนั้นฟังได้ตั้งแต่คลอดออกมา
ด้วยความที่เป็นเสียงดนตรีมันจะสงบด้วยธรรมชาติของมันเองอยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในท้องเสียงดนตรีจะช่วยเด็กมั้ยตรงนี้ผมไม่แน่ใจ เพราะว่าเสียงดนตรีก็คือ วัฒนธรรมที่มนุษย์เราเรียนรู้หลังจากที่เกิดมาแล้ว เรารู้ว่านี่คือเสียงที่ไพเราะ หรือเพลงนี้มีความหมายดี แต่ถ้าอยู่ในท้อง เด็กไม่เคยฟังดนตรีมาก่อน เขาจะรับรู้ถึงประโยชน์ของดนตรีมั้ย ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่
มีอยู่ตัวอย่างหนึ่งที่คนมักเข้าใจกันคือ ถ้าเราให้ข้อมูล ในขณะที่เด็กหลับแล้วไปกรอกหูว่า อยากให้เขาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นคนดีหรือเรียนเก่ง มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ เพราะจากการสแกนสมองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็พบว่าเนื้อสมองส่วนที่เป็นเซนเตอร์ของการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ หยุดทำงานไปด้วยระหว่างที่คนเราหลับ แต่ถ้าเขาเคลิ้มๆ หรือก่อนหลับ อย่างนี้มันก็พอช่วยได้ อย่างเทปภาษาก่อนที่เขาหลับก็ให้ฟังได้ เพราะเขายังรับรู้ข้อมูลอยู่ ซึ่งมันเข้าทั้งทางจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก "
และแล้วก็มาถึงตอนจบที่เราอยากจะถามคุณหมอว่า คนไทยจะได้อะไรจาก Subliminal Tape นี้บ้าง
" แล้ว Subliminal Tape จะช่วยอะไรกับสังคมไทยได้บ้าง ลองคิดดูซิครับ เฉพาะเด็กที่ทำไปนี่นะครับเมื่อฟังไปแล้วสุขภาพจิตเป็นปกติ การเรียนดีขึ้น ก็แปลว่าเยาวชนของเราเนี่ย สามารถที่จะพัฒนาในเรื่องสติปัญญา สุขภาพจิตได้ดีขึ้นแน่นอน เพราะฉะนั้นมันจึงมีประโยชน์อย่างมหาศาล และถ้าเป็นผู้ใหญ่มันก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน เพียงแต่มันจะยากหรือง่าย เท่านั้นแหละ แต่ที่ทำไปแล้วอย่างเด็กเห็นได้ชัด เพราะถ้าสุขภาพจิตปกติ การเรียนก็ย่อมดีขึ้น ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ความจำดีขึ้น ผ่อนคลาย
ผมมีเพื่อนเป็นหมอสูติ เขาบอกว่า เออ...เวลาที่ผู้หญิงคลอดนี่นะ จะปวดท้องมากเลย จะทำอย่างไรดีให้การทนต่อการเจ็บปวดมันเพิ่มขึ้น ซึ่งเพลงนี้มันก็ช่วยได้ หรืออย่างคนไข้นั่งรออยู่ หงุดหงิด คนไข้ในโรงพยาบาลมีเป็นร้อยกว่าจะถึงคิวตัวเอง พอฟังเพลงพวกนี้ไป มันก็ผ่อนคลาย หรือทำงานอยู่ในออฟฟิศ ก็เปิดเพลงที่มีข้อความที่กระตุ้น ให้เกิดความกระฉับกระเฉง กระตุ้นให้เลิกผัดวันประกันพรุ่ง กระตุ้นให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ก็จะทำให้การทำงานเต็มไปด้วยความสนุก จินตนาการไปซิครับมันช่วยได้หมดเลย
สิ่งสำคัญของ Subliminal Tape ก็คือ ข้อมูล ถ้าเปรียบแล้วข้อมูลก็คือ พระเอก ดนตรีที่ได้ยินผ่านหูเป็นพระรองเท่านั้น ผมใช้พระรอง ให้เป็นประโยชน์ เพราะผมรู้ว่าเพลงประเภทไหนเหมาะกับเรื่องอะไร แต่มันไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือข้อมูลที่จะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึก เพราะว่าถ้าผมไม่เอาดนตรีได้มั้ย ได้นะครับ ก็เอาเสียงธรรมชาติ ผมเอาเสียงโมโนโทน อย่างเช่น 500 เฮิรตซ์ ที่มีเสียงซ่าอย่างเดียว มาลบข้อมูลที่ผมใส่เข้าไปก็ได้ แต่คนอยากฟังมั้ยเสียงพวกนั้น เขาไม่อยากหรอก
คนทั่วไปคิดว่านี่คือดนตรีบำบัด มันไม่ใช่นะครับ เป็น Perception without Awaress หรือ Subliminal Perception เป็นการรับรู้ผ่านจิตใต้สำนึก โดยการเอาข้อมูลผ่านจิตใต้สำนึกนี้ ไปเปลี่ยนในสิ่งที่เราอยากจะให้เปลี่ยน เพิ่มในสิ่งที่เรา อยากจะให้เพิ่มตามต้องการ ดนตรีเป็นแค่ส่วนประกอบ
และท้ายที่สุดนี้ผมอยากจะบอกว่า Subliminal Tape ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ทั้งหมด ไม่ได้เป็นยาวิเศษ ถ้าเปรียบเป็นอาหารก็อย่างที่บอกเป็นเพียงแค่วิตามินเสริมเท่านั้น คือถ้าเป็นโรคแล้ว ต้องกินยาแล้วไปทำการรักษากับคุณหมอนะครับ แต่ถ้าอยากจะได้ตรงนี้ไปเป็นส่วนเสริมผมก็ยินดี แต่อย่าคาดหวังไว้สูงนะครับว่ามันจะทดแทนทุกอย่างได้ "
จากบทหนึ่งที่ฟรอยด์ได้เขียนขึ้นมาจากการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ทางด้านการรับรู้ ก็ทำให้เราทราบว่าจริงๆ แล้ว ถ้าหากว่าเราถูกกล่อมเกลา จนทำให้เกิดจิตสำนึกที่ดีงาม ส่วนหนึ่งในการกำหนดพฤติกรรมนั้นก็คือ จิตใต้สำนึกที่เราถูกปลูกฝังนั้นเอง จนเมื่อ Subliminal Tape เข้ามาสัมผัสกับชีวิตมนุษย์ และชีวิตของคนไทยเด็กไทย ด้วยการหล่อหลอมจิตใจจนเกิดความคิดที่ดีงาม ทำให้เราอยากจะเอ่ยคำว่า ขอขอบคุณให้กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข ไว้ ณ ตรงนี้จริง ๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก