โบนัสของชีวิต
ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว หลายคนกำลังง่วนอยู่กับการมองหาของขวัญดีๆ ให้คนอื่น ก็อย่าลืมนึกถึงตัวเองด้วย ตลอดปีที่ผ่านมาบางคนตระเวนหาของอร่อยๆ รับประทาน ปีใหม่นี้ลองใช้เวลาล้างพิษเพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวเองดูบ้าง
ปกติร่างกายของคนเราจะมีกลไกที่วิเศษพอที่จะล้างพิษออกจากร่างกายตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าการหายใจ เหงื่อ การขับถ่าย และประจำเดือนของผู้หญิง
เมื่อร่างกายสำลักพิษ ก็มีกลไกพิเศษช่วยในการขับพิษผ่านทางไอหรือจาม เพราะร่างกายเรามีเชื้อโรคจำนวนมาก โดยเฉพาะแบคทีเรีย ถ้าสภาพร่างกายปกติก็จะมีวิธีควบคุมและกำจัดแบคทีเรียที่จะเป็นพิษออกไป
แต่เมื่อใดก็ตาม ร่างกายอยู่ในสภาพไม่สมดุล อาจมีอาการปวดหัวตัวร้อน ส่อเค้าว่ากำลังป่วย แต่คนส่วนใหญ่ก็จะเพิกเฉยหรือแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ด้วยการกินยาแก้ปวดหรือทายาแก้ผื่นคัน โดยไม่ได้หาสาเหตุที่แท้จริง
และยิ่งวิถีชีวิตรีบๆ เร็วๆ ในปัจจุบัน เร่งเร้าให้เรานำสารพิษเข้าสู่ร่างกายมากเกินอัตรา ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือขนมนมเนยต่างๆ นอกจากแคลอรีที่เกินความต้องการของร่างกายแล้ว ส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้ก็ยังเป็นพิษต่อร่างกาย อาหารอาจมีส่วนผสมของผงชูรสมากไป และกระบวนการขัดขาวของแป้งและน้ำตาล ยังรวมไปถึงสารแต่งรส แต่งกลิ่น สารให้ความหวาน ผักที่มียาฆ่าแมลง หรืออาหารสำเร็จรูปมีส่วนผสมของสารกันบูด เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก และมีสารพิษตกค้างจากการเลี้ยงสัตว์ระบบอุตสาหกรรม
ลองสังเกตตัวเอง
สารพิษที่ตกค้างอาจทำให้ร่างกายระคายเคือง อาจเป็นจุดกำเนิดของโรคร้ายหลายประการ ยิ่งรับประทานเนื้อสัตว์มากเท่าไหร่ ร่างกายก็ต้องใช้พลังงานมากในการย่อย และยังต้องขับสารพิษที่ตกค้างจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์
เนื่องจากลำไส้มนุษย์มีความยาวประมาณ 8.5-9 เมตร และสัตว์กินเนื้อจะมีลำไส้ที่สั้นเป็นพิเศษเพื่อจะขับถ่ายพิษอันเกิดจากการเน่าเสียของเนื้อออกมาให้เร็วที่สุด ถ้ามนุษย์รับประทานเนื้อสัตว์เข้าไป กากอาหารจากเนื้อเหล่านี้จะไปเน่าเสียคั่งค้างอยู่ในลำไส้เป็นเวลานาน ร่างกายก็จะดูดซึมสารพิษ อันเกิดจากการเน่าเสียนั้นเข้ากระแสโลหิต ก่อให้เกิดโรคต่างๆ นานา
อันที่จริงผักก็เน่าเสียเหมือนกัน แต่ช้ากว่าเนื้อสัตว์ ลองจินตนาการถึงการนำเนื้อสัตว์ หมูหรือไก่มาแช่ในตู้เย็น อุณหภูมิราว 4 องศาในเวลา 24 ชั่วโมง เนื้อก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำและมีกลิ่นเหม็น ในขณะที่เนื้อที่บูดเน่าอยู่ในร่างกายเราในอุณหภูมิ 37 องศา ก็ยิ่งเน่าเสียมากยิ่งขึ้น
เวลาที่สารพิษล้น แล้วกำจัดไม่ทัน และยังรับประทานอาหารเข้าไปอีก ร่างกายเตือนเบาๆ ก่อนเป็นโรคร้าย แต่ไม่ค่อยมีใครฟัง ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเหม็นๆ กลิ่นตัว คราบหินปูน กลิ่นฉุนรุนแรงจากระบบขับถ่าย บางคนก็ผมร่วง แต่เราก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการอาบน้ำแปรงฟันหรือฉีดน้ำหอม
ถ้าภายนอกร่างกายเหม็นขนาดนี้ ข้างในก็ไม่ต่างกัน เพราะทั้งด้านนอกและด้านในร่างกายเป็นผิวหนังผืนเดียวกัน แม้ร่างกายมีกลไกกำจัดสารพิษอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องร่วมมือกับร่างกายด้วย เหมือนช่วยกันสองแรงแข็งขัน ทั้งช่วยลดพิษในการเข้าสู่ร่างกาย และช่วยกำจัดมันออกไปด้วยการล้างพิษ
อาจลองสำรวจตัวเองดูว่า ถึงเวลาต้องออกแรงช่วยร่างกายหรือยัง เพราะบางคนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยโดยไม่มีสาเหตุ เป็นผื่นแพ้คันไม่หายเสียที
เมื่อพูดถึงการล้างพิษ ก็มีหลายวิธีด้วยกัน ทั้งการกินหรือการอดเพื่อล้างพิษ การสวนล้างลำไส้ ลองพิจารณาตามความสะดวกและเหมาะสมกับร่างกาย
กินผลไม้ล้างพิษ
กรรมวิธีล้างพิษง่ายๆ แต่อาจยากสักนิด ตรงที่ต้องทำใจ คือ อดอาหารแล้วกินผลไม้แทน นี่คือการอดเพื่อล้างพิษ อดคือกินให้น้อยลง ลดภาระของร่างกาย แทนที่จะต้องมาทุ่มเทพลังงานในการย่อยอาหารหนักๆ ก็ให้ร่างกายได้พักผ่อนซ่อมแซมตัวเองบ้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกลไกปกติสามารถขับสารพิษออกจากร่างกาย
ถ้าจะให้รางวัลตัวเองด้วยการกินเค้ก แม้จะมีรสชาติอร่อย แต่ก็ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเหมือนเดิม ลองปรับความคิดใหม่ว่า ร่างกายทำงานหนักทุกวันแล้ว ให้โบนัสร่างกายด้วยการกินผลไม้ 1 วัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน
ลองใช้สูตรง่ายๆ กินผลไม้แทนอาหารทั้ง 3 มื้อ อาจใช้ผลไม้ชนิดเดียวกันทั้งวัน คือ กินฝรั่งอย่างเดียวหรือมะละกออย่างเดียว แต่สำหรับผู้เริ่มต้นก็ทานผลไม้อะไรก็ได้คละกันไป เพียงแต่แยกชนิดแต่ละมื้อ อาจทานผลไม้รสหวานอย่างเดียว อย่างมะละกอกับมะม่วงสุก หรือทานผลไม้รสเปรี้ยวอย่างเดียว เพราะเอนไซม์ในการย่อยจะเป็นคนละชนิดกัน
“ถ้าตั้งใจจะให้ร่างกายพักผ่อนจริงๆ เพื่อให้ร่างกายใช้เอนไซม์ในการย่อยชนิดเดียว ก็เลือกทานแบบหวานอย่างเดียวหรือแบบเปรี้ยวอย่างเดียวในหนึ่งมื้อก็พอ” เพียงพร ลาภคล้อยมา วิทยากรจากธรรมชาติกับการเยียวยา แนะนำมือใหม่หัดอด
ถ้าหากหาผลไม้ปลอดสารพิษไม่ได้ จำต้องเลือกผลไม้ที่วางขายทั่วไป ก็ควรพิถีพิถันล้างให้สะอาด อาจล้างด้วยน้ำเกลือ ด่างทับทิม ผงฟู น้ำส้มสายชู ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ให้เลือกผลไม้ตามฤดูกาล ไม่จำเป็นต้องใช้ผลไม้ข้ามถิ่น อย่างพวกแอปเปิล แม้ว่าจะมีกากใยมาก แต่ผลไม้พวกนี้มาจากประเทศจีน กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองไทย ก็ใช้เวลานานกว่า 5-6 วัน เพราะขนส่งมาทางเรือส่งสินค้า แต่ถ้ากินมะละกอที่ตัดฉับจากข้างบ้าน แล้วปอกกินทันที หรือซื้อมาจากตลาดที่มีแหล่งปลูกไม่ใกล้ไม่ไกลบ้านเรา จะมีได้คุณค่าทางอาหารมากกว่า
เพียงพร บอกเทคนิคที่ช่วยเพิ่มกำลังใจว่า ให้เลือกวันที่มีความสำคัญสำหรับตัวเองในการอด เพื่อเป็นกำลังใจให้ทำให้ได้ อย่างเป็นวันเกิดของตัวเอง วันเกิดของพ่อแม่
“สำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน ก็ล้างพิษในวันหยุดจะดีกว่า ก่อนอดก็เตรียมตัวทำงานบ้านให้เรียบร้อย
วันที่อดให้หยุดพักผ่อนจริงๆ เพราะทานน้อย ก็ต้องใช้พลังงานน้อยๆ ด้วย ถ้าฝืนทำงานจะทรมาน หงุดหงิด” เพียงพร ว่า ถ้าจะอดอาหารล้างพิษเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง ก็อย่าฝืนตัวเองและรู้สึกทรมาน
เธอ บอกว่า ถ้าจะล้างพิษด้วยวิธีนี้ ก็ให้ทำใจให้พร้อม ถ้ารู้สึกว่าเป็นการทรมานตัวเองเกินไป ก็ให้หยุด เพราะถ้ารู้สึกว่าทำกับตัวเองเกินไป ก็จะเป็นสารพิษตกค้างในจิตใจ ไม่เป็นผลดีกับร่างกายอยู่ดี
หลายคนเริ่มต้นอดปีละ 1 ครั้ง เมื่อพบว่าเกิดความเบาสบาย มีความกระปรี้กระเปร่า หน้าตาสดใสมากขึ้น หลังการอด บางคนก็ขยับจำนวนเป็นเดือนละครั้ง หรือ สัปดาห์ละครั้ง เหมือนทำงานมา 6 วัน ก็ให้เป็นวันหยุด 1 วัน
การอดเพื่อล้างพิษด้วยการกินผลไม้ทดแทนอาหาร 1 วัน คนทั่วไปสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าจะทำอย่างต่อเนื่อง 2 - 3 วันหรือมากกว่านั้น ก็ต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับผู้ที่จะอดด้วยการดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำสะอาดแทนอาหาร
กินข้าวล้างพิษ
หลักการของการกินอาหารแมคโครไบโอติกส์ เน้นสูตรอาหารที่สร้างความกลมกลืนและสมดุลให้กับร่างกาย ปรุงอาหารให้มีความสมดุลหยิน-หยาง ความเป็นกรดเป็นด่าง และธัญพืชเป็นอาหารหลักที่เหมาะสมของมนุษย์
อาหารเป็นวัตถุดิบในการสร้างเลือด เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ร่างกาย กินอาหารสะอาดเลือดก็สะอาด เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดีขึ้น แต่ถ้ากินอาหารปนเปื้อนสารเคมีหรือสารพิษมากๆ เลือดก็จะด้อยคุณภาพ และมีผลทำให้ร่างกายทรุดโทรม
อาหารที่สร้างเลือดให้สะอาดคือ ธัญพืชธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง รวมถึงธัญพืชที่ไม่ขัดสีปรุงแต่ง
อาหารหลักของแมคโครไบโอติกส์แต่ละมื้อ เน้นธัญพืช 50% ของอาหาร น้ำแกงจืดใส่เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นหรือมิโซ 5-10% หรือประมาณวันละ 1-2 ถ้วย ผักประมาณ 25-30% ควรปรุงด้วยการนึ่ง ลวก อบ ต้ม หรือผัด โดยใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด ถั่ว 10% และสาหร่าย
อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารช้าๆ เน้นการเคี้ยวอย่างละเอียด เพื่อให้อาหารย่อยง่าย และถูกนำไปใช้อย่างมีประโยชน์กับร่างกาย ถ้าลำไส้สะอาด ก็ทำให้ Metabolism ดี กินแล้วจะให้พลังงานภายใน 3 นาที
น.พ. โอภาส นาหว่าน วิทยากรในคอร์สอาหารแนวแมคโครไบโอติกส์ เล่าถึงกระบวนการย่อยอาหาร ว่า ตรงผนังลำไส้เล็กจะมีปุ่มเล็กๆ คอยดูดซึมอาหาร ซึ่งปุ่มนั้นเล็กมาก อาหารที่กินเข้าไปต้องเล็กมากถึงจะสะดวกในการดูดซึม แต่คนทั่วไปมักเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด เมื่ออาหารลงไปถึงจุดที่จะดูดซึม ถ้าอาหารใหญ่เกินไป ก็จะดูดซึมไม่ได้ ร่างกายจำต้องย่อยให้เล็กลง และอาหารส่วนนั้นในร่างกายก็จะเน่าเสีย ส่วนอาหารที่ย่อยไม่ได้ ก็ค้างและเน่าเสียอยู่ตรงนั้น
สูตรล้างลำไส้ของแมคโครไบโอติกส์ คือ ข้าวกล้องโรยงาขาว ให้กินทั้ง 3 มื้อตลอด 10 วัน
“แค่ 3 วัน ก็จะเห็นความเบาสบาย และต้องเคี้ยวคำละ 50 ครั้ง หลังจากนั้นก็เริ่มขยับมาอีกสูตร มีอาหารชนิดอื่นๆ มากขึ้น มีผัก มีเครื่องปรุงบ้าง ถ้าปรับตัวออกมากินเนื้อเลยจะแย่ ต้องค่อยๆ ขยับ”
วิทยากรในการอบรมครั้งนั้นยังบอกอีกว่า ระหว่างการล้างพิษจะมีอาการขับพิษมาก มีอาการหงุดหงิดหิวโน่น นี่
“ก็ต้องถามตัวเองว่า ต้องการอะไร ถ้าต้องการจะทำความสะอาดร่างกายจริงๆ แนวทางอาหารแต่ละสูตร ก็ไม่มีใครผิดใครถูก อยู่ที่เราอยากได้อะไร ต้องการอะไรในอาหารแต่ละมื้อ”
ล้างลำไส้ด้วยกาแฟ
การสวนทวารเป็นการล้างพิษที่สะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่ เป็นวิธีที่มีการพูดถึงกันมาก โดยเฉพาะเมื่อ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ได้เผยแพร่แนวคิดชีวจิต ล้างพิษโดยการใช้กาแฟปริมาณ 800-1,500 ซีซี สวนเข้าไปในลำไส้ ช่วยขจัดพิษที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ กาเฟอีนจะถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดดำเข้าสู่ตับ เพื่อกระตุ้นการทำงานของตับมากขึ้น ช่วยขับพิษในตับได้ดีด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางธรรมชาติบำบัดบางศาสตร์ ก็ใช้น้ำสะอาดที่ใช้ดื่มมาสวนล้างลำไส้ปริมาณ 300-350 ซีซี เพราะวิธีการนี้ดูนุ่มนวลกว่า และไม่ทิ้งคราบกาแฟ ข้อสำคัญสามารถทำได้บ่อย
ของเหลวที่ใช้สวนล้างส่วนนี้จะเข้าไปทำความสะอาดลำไส้ โดยเฉพาะส่วนที่โค้งงอของลำไส้ ซึ่งเป็นเหตุให้ของเสียตกค้างและไม่ได้ถูกขับถ่ายออกมา และได้เปลี่ยนสภาพเป็นสารพิษให้ร่างกายดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดอีกครั้ง ทำให้ตับและไตต้องทำงานหนักในการขับสารพิษนั้นออกมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามการสวนล้างลำไส้ ก็ไม่ใช่เรื่องทำได้บ่อยๆ ควรปล่อยให้ลำไส้ทำงานตามธรรมชาติ และวิธีการนี้ ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะเด็กหรือผู้หญิงตั้งครรภ์ ฯลฯ
ของขวัญสำหรับปีใหม่นี้ ลองบรรจุโปรแกรมล้างพิษไว้เป็นโบนัสตอบแทนให้กับตัวเองดูบ้าง เตรียมทั้งกายและใจเพื่อสิ่งดีๆ ในชีวิต
โปรแกรมล้างใจ
คนเรามักจะมีหลายสิ่งหลายอย่างตกค้างอยู่ในใจ แม้วันเวลาจะผ่านพ้นไป อาจเป็น 1 เดือนหรือ 1 ปี บางเรื่องก็ยังรบกวนจิตใจ ปีใหม่นี้เอาฤกษ์เอาชัย นำสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต
เรื่องราวบางเรื่องทิ่มแทงใจ บางครั้งเราอยากลืม แต่ดูเหมือนมันยิ่งชัดเจนในความทรงจำ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความผิดพลาดในอดีต ความละอายต่อสิ่งที่เคยได้กระทำลงไปอย่างไม่ทันได้คิด
มีหลายคนให้ข้อคิดไว้น่าสนใจและมีทัศนะคล้ายๆ กัน ประภาส ชลศรานนท์ เขียนไว้ในคอลัมน์คุยกับประภาสในหนังสือพิมพ์มติชน และรวมเป็นเล่มชื่อ 'เท่าดวงอาทิตย์' และนักเขียนอีกคน รูธ ฟิเชล เขียนไว้ใน 'หากใจเราบางเบาดั่งขนนก' เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรลืม แต่ก็ถึงเวลาที่จะต้องให้อภัยคู่กรณีและให้อภัยตัวเอง ความเจ็บปวดจึงจะลดเลือนลงได้
รูธ ต้องจัดการกับความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ เพราะลูกชายของเธอฆ่าตัวตาย และเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการติดเหล้าและการหย่าร้างของเธอเกี่ยวข้องกับการตายนั้นด้วย
นอกจากการไปพบนักจิตบำบัด เธอได้ใช้เวลา 2-3 วันไปแคมป์ และเธอก็ได้ทบทวนสิ่งที่ได้ทำและไม่ได้ทำให้ลูกชาย แล้วพบว่าบางอย่างที่เธอทำไปนั้น ทำให้ลูกชายเธอไม่มีความสุข และเธอก็ปฏิเสธมันไม่ได้
"สิ่งหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ การให้อภัยตัวเอง จงปล่อยวางความละอาย และความรู้สึกผิดที่ตัวเองมีอยู่ เพราะมันทำให้จิตใจเรารับภาระหนักเกินไป และช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น" รูธ เขียนไว้อย่างนั้น เมื่อเธอยอมรับความจริงและให้อภัยตัวเอง
นอกจากแนะวิธีล้างพิษให้ร่างกายแล้ว เพียงพร ยังแนะวิธีล้างพิษให้จิตใจด้วย เธอบอกว่า ขณะที่ล้างพิษให้ร่างกายด้วยการอดอาหาร จะทานผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ ก็เป็นการล้างพิษให้จิตใจไปด้วย
"ระหว่างการอดอาหาร ก็ต้องอดความพึงพอใจไปด้วย คนอดอาหารได้ ก็เป็นคนที่เอาชนะตัวเองได้ ดังนั้นถ้าอดอาหารได้ จิตใจก็เข้มแข็งพอที่จะห้ามใจไม่วิ่งไล่ตามแฟชั่นมือถือรุ่นใหม่ โดยที่เครื่องเก่ายังใช้ได้"
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการชำระความรู้สึกที่รบกวนจิตใจ หากปล่อยไว้นานอาจเป็นสารพิษในจิตใจ
“อย่างถ้าวิ่งตามรถเมล์ไม่ทัน ก็ให้สูดหายใจแรงๆ สูดไปเลย แม้ตรงนั้นจะมีฝุ่นควันมากไปหน่อย อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าบังไว้ สูดหายใจแรงๆ ช่วยให้หายเหนื่อย แล้วยังได้กวาดความรู้สึกเสียดายทิ้งไปด้วย บ้านช่องห้องหับสกปรก เรายังต้องกวาดขยะทิ้งความรู้สึกเสียดายหรือไม่ได้ดั่งใจ มันตกหล่นอยู่ข้างในตัวเรา เราก็ต้องกวาดทิ้งไปด้วย” เพียงพร บอกว่า หายใจแรงๆ เหมือนเครื่องดูดฝุ่นที่จะดูดความรู้สึกแย่ๆ ออกจากจิตใจ
รมณ รวยแสน
หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนเรียบเรียงจากหนังสือธรรมชาติบำบัด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก