จิตวิทยาการเดาใจคนและการรู้จักมองคน

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จิตวิทยา

ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมันได้เขียนไว้ว่า การรับรู้ของมนุษยชาติแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับจิตสำนึก (Consciousness) และจิตใต้สำนึก (Subconsciousness)
โดยระดับจิตสำนึก หมายถึงการรับรู้ในขณะที่ยังรู้สึกตัว สามารถสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วค่อยผ่านไปยัง กระบวนการไตร่ตรองข้อมูลว่าสิ่งที่เข้ามานั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ส่วนระดับจิตใต้สำนึกเป็นการรับรู้โดยไม่ผ่านการกรองข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่เข้ามาจะไปสู่เซลล์สมองโดยผู้รับไม่รู้ตัว และพร้อมที่จะกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ได้ต่างๆ นานา
ฉะนั้นการส่งข้อมูลผ่านจิตใต้สำนึกจึงสามารถทำได้ตลอดเวลา และตรงนี้เองจึงทำให้มีการนำประโยชน์ของการสื่อข้อมูลผ่านจิตใต้สำนึก มาใช้ ภายใต้นวตกรรมใหม่ที่ชื่อ Subliminal Tape แล้ว Subliminal Tape คืออะไร ?
ถามมาอย่างนี้ก็คงต้องบอกว่าเราเองก็ไม่รู้เท่ากับคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรอก เพราะผู้ที่จะมาให้คำตอบกับเราได้รับรู้ผ่านจิตสำนึกในคราวนี้ เป็นถึงเพทย์ระดับผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบจิตประสาท จากภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์ ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข ผู้ที่ดำเนินการนำเอา Subliminal Tape เวอร์ชั่นภาษาไทยเข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งคุณหมอประกอบ ได้เล่าให้เราฟังถึงที่มาเกี่ยวกับ Subliminal Tape ไว้ว่า " Subliminal Tape ผมเชื่อว่าต้องมีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งต้นตอของทฤษฎีนี้ก็คือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมัน เขาได้บอกว่าคนเรามีการรับรูอยู่สองระดับ คือ จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก จิตสำนึก คือ การรับฟังข้อมูลแล้วได้ติดตามไป แต่สำหรับจิตใต้สำนึกนั้นก็คือ การับรูที่เราไม่รู้ตัว และการรับรู้พวกนี้มีทั้งหมด 5 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรารับรู้ในขณะที่เราไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่าง ขณะที่คน 2 คนคุยกัน การรับรู้โดยจิตใต้สำนึกก็จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างความรู้สึกถึงความนุ่ม ความแข็งของเก้าอี้ อากาศในห้อง ซึ่งถ้าไม่มีใครบอกก็จะไม่มีใครรู้ตัว แต่พอพูดปั๊บก็จะนึกถึงเสื้อผ้า ที่เราสวมใส่ว่ามีความนุ่มหรือแข็งขนาดไหน ซึ่งจริงๆ แล้ว เพราะโดยธรรมชาติสมองของเราจะรับรู้ได้ทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน เพื่อที่เราจะได้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม "
จากการค้นพบภูมิหลังของแพทย์ผู้นี้ก็พบว่า คุณหมอประกอบ จบการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อปี 2524 และด้วยความที่เป็นคนให้ความสนอกสนใจงานทางด้านจิตเวช มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงเป็นเหตุให้คุณหมอไม่เคยลังเลเลย ที่จะเลือกเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง ของภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ตามที่ใจรักจนกระทั่งจบออกมาในปี 2530 แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้บินลัดฟ้าไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทางด้านการใช้ยา ที่เกี่ยวกับจิตประสาทและความจำ ที่ University of London ประเทศอังกฤษ
และที่เมืองผู้ดีนี้เองทำให้คุณหมอได้พบปะกับโฉมหน้าของ Subliminal Tape การสื่อสานผ่านจิตใต้สำนึกอย่างเป็นทางการ
" ในช่วงที่ผมเรียนปริญญาเอกในเรื่องของความจำอยู่ที่อังกฤษ มันก็จะมี Part หนึ่งที่ผมจะต้องศึกษาอยู่ก็คือ การรับรู้หรือจำอะไรได้ โดยไม่รู้ตัว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Perception Without Awaress ซึ่งหลักการตรงนี้เป็นการใส่ข้อมูลเข้าไปในจิตใต้สำนึก และระหว่างที่อยู่ประเทศอังกฤษ ผมได้ไปช่วยทำรายการวิทยุให้กับ BBC โดยไปเป็นผู้ประกาศอยู่พักหนึ่ง และตรงนี้เองที่ทำให้ผมได้มีโอกาส เข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือเครื่องไม้ในสตูดิโอหลายอย่าง
อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้เข้าไปเดินในร้านหนังสือแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน แล้วก็เหลือบไปเห็นเทหม้วนหนึ่งที่หน้าปกเขียนไว้ว่า ' Subliminal Tape ' ซึ่งผมก็คิดอยู่ในใจว่า ' Subliminal ' มันแปลว่าอะไร ผมก็เลยลองอ่านดูก็เลยได้คำตอบว่า มันเป็นเทปที่สื่อข้อมูล เข้าไปในจิตใต้สำนึก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ การใส่ข้อมูล เข้าไปในสมองโดยไม่รู้ตัว
และที่อังกฤษมี ' Subliminal Tape ' เป็น 10ๆ เรื่องเลยนะ ยกตัวอย่างเช่น คลายเครียด เลิกบุหรี่ ลดนำหนัก นอนไม่หลับ เพิ่มความจำ เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง เลิกผัดวันประกันพรุ่ง เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งผมก็ลองซื้อมาฟังดูแล้วพบว่า จริงๆ แล้ววิธีการของเขาก็คือ การใส่ข้อมูลลงไปในเทปแล้วเอาเสียงเพลงกลบไว้ ซึ่งข้อมูล ก็จะเป็นไปตามเรื่องนั้น ม้วนหนึ่งก็เรื่องหนึ่ง ตรงนี้ผมก็คิดว่า ในเมื่อฝรั่งเขาทำแล้วได้ผล คนไทยก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน
และด้วยความที่ผมมีพื้นฐานในการเป็นจิตแพทย์บวกกับความรู้ทางด้าน การใช้เครื่องไม้เครื่องมือในสตูดิโอ ก็เลยเริ่มศึกษาและเริ่มทำ ' Subliminal Tape ' ขึ้นมา แล้วทีนี้ถ้าคนไทยเอาเทปของฝรั่งไปฟัง มันก็คงไม่ได้ผลมากนัก เพราะว่าคนไทยยังคิดเป็นภาษาไทย จิตใต้สำนึกเรายังรับรู้เป็นภาษาไทย ผมก็เลยต้องดัดแปลง ข้อมูลจากภาษาอังกฤษให้ออกมาเป็นภาษาไทย โดยแรกๆ ผมก็ทำให้กับพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ BBC และนักเรียนปริญญาโท-เอก ที่อังกฤษฟังกัน "
คราวนี้มาดูหลักการในส่วนของจิตใต้สำนึกที่ Subliminal Tape เข้ามามีบทบาทกันบ้างดีกว่า ดูๆ ไปมันจะคล้ายกับการสะกดจิตมั้ยนะ
" ถ้าถามว่าจะเหมือนกับการสะกดจิตมั้ย คือ มันอย่างนี้นะครับ จะต่างกันเพียงนิดเดียว ตรงที่การสะกดจิต จะต้องผู้สะกดแล้วข้อมูลที่ได้ไป จะเข้าจากจิตสำนึกไปสู่จิตใต้สำนึก แต่วิธีนี้ไม่มีผู้สะกดมีแต่ม้วนเทป ซึ่งข้อมูลที่ได้ไปจะไม่มีการกลั่นกรองไม่มีการ Censorship มันจะเข้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งต่างจากการรับรู้โดยผ่านจิตสำนึก อย่างการสะกดจิต สมมติว่าถ้ามีคนมาสะกดจิตผมแล้วผมไม่เชื่อ ผมต่อต้าน เขาก็จะสะกดผมไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการรับรู้ผ่านจิตใต้สำนึก ฟังเทปเขาก็จะไม่รู้สึกตัว เพราะว่าเขาจะไม่ได้ยินข้อมูลตรงนี้ เสียงเพลงมันกลบ แต่ข้อมูลยังมีอยู่ แล้วข้อมูลตรงนี้ก็จะเข้าไป สู่จิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติ ถามว่าเราจะต่อต้านได้มั้ย ก็ขอเรียนตามตรงว่า ต่อต้านไม่ได้ ฉะนั้นตรงนี้คือความแตกต่าง
จริงๆ แล้ว Subliminal Tape ไม่จำเป็นเลยที่ผู้ฟัง จะต้องมีปัญหาทางด้านจิตเวช อย่างเทปผ่อนคลาย ฟังเฉยๆ มันก็ผ่อนคลายได้ หรือมีความเครียดอยู่มันก็ช่วยผ่อนคลายได้ ซึ่งข้อดีของ Subliminal Tape คือ ไม่จำเป็นว่าขณะฟังจะต้องอยู่ในบรรยากาศ ที่สงบเยือกเย็นถ้าเป็นผู้ใหญ่อยากจะผ่อนคลายก็ขับรถไปเปิดฟังไป มีเพื่อนผมคนหนึ่งเอาเทปไปฟังขณะขับรถ ใครจะปาดจะแซง ก็สบายช่างเขา เราขับของเราได้เรื่อยๆ
ที่สำคัญในการฟัง Subliminal Tape ไม่จำเป็นต้องตั้งใจฟัง เพียงแค่ให้เสียงเพลงผ่านหูเท่านั้นก็พอ เพราะข้อมูลที่เสียงเพลงกลบไว้ จะเข้าสู่โสตประสาทไปสร้างเป็นกระบวนการโดยอัตโนมัติ โดยที่เขาไม่รู้ตัว ซึ่งเขาก็ได้ตรงนี้ตอกย้ำ เช่นแต่เดิมไม่เชื่อว่า แม่รักเขาหรือเปล่านะ เขาก็จะเริ่มมีความมั่นใจขึ้นทุกวี่ทุกวัน ทุกครั้งที่ฟังนานๆ เข้าก็ตกผลึกสร้างความมั่นใจให้กับเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็จะเลิกพฤติกรรมที่ดึงดูความสนใจจากคุณแม่ คุณพ่อ คุณครู ความเครียดก็ลดลงด้วย พอความเครียดลดลง สมองก็ว่างพร้อมที่จะเรียน ซึ่งเด็กก็จะสามารถที่จะใช้ไอคิวได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ทำให้คนอื่นไอคิวต่ำฟังแล้วไอคิวสูงนี่มันทำไม่ได้นะครับ "
พอกลับมาเมืองไทยหลังจากจบการศึกษา แนวคิดของคุณหมอ ที่จะทำ Subliminal Tape ภาคภาษาไทยก็ได้เริ่มขึ้น
" พอผมกลับมาเมืองไทย ผมก็มีความตั้งใจว่าจะลองมาทำวิจัยดู และทำไปได้แค่ 4 เรื่อง คือ เรื่องผ่อนคลาย ช่วยความจำ นอนไม่หลับ และเรื่องเด็กดีมีสุข ที่ช่วยให้พฤติกรรมของเด็กกลับมาสู่แนวทาง ที่มันควรจะเป็น
อย่างในเรื่องการพัฒนาความจำ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วถ้าเราตั้งสมมติฐาน โดยตั้งเงื่อนไขว่าสมองของคนๆ นั้นปกติ คนที่จำไม่ได้ดีแปลว่า สมองของเขาใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ มีความเครียดทางสุขภาพจิต มีความวิตกกังวลเข้ามาบั่นทอน ฉะนั้นสมองที่เคยมี 100% เหลือไม่ถึง 100 ซึ่งเรื่องที่มาบั่นทอนมันก็จะมีแกนอย่างเดียวกัน นั่นก็คือ เรื่องของจิตใจหรือเรื่องของจิตใต้สำนึก
ในเมื่อเราสามารถไปสู่จิตใต้สำนึกได้ปุ๊บ เราก็สื่อเข้าไปแก้ ในเรื่องของจิตใจล้างในสิ่งที่เป็นภาพลบในจิตใต้สำนึกของเขาให้หายไป เมื่อลบล้างปุ๊บสมองก็จะกลับมา 100% อย่างที่เขาควรจะมี และความจำของเขาก็จะดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถทำให้เซลล์สมองกลับมาหนุ่มๆ สาวๆ เหมือนเดิมมันก็คงเป็นไปไม่ได้
มีคนถามว่า ผลตรงนี้จะอยู่นานหรือเปล่า บอกตามตรงนะครับว่า ผมไม่ทราบแต่เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยของฝรั่งแล้ว พบว่า ข้อมูลที่เข้าไปอยู่ในความทรงจำโดยไม่รู้ตัว มันจะอยู่ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นที่ฝรั่งให้จำศัพท์ชุดหนึ่ง แล้วถามก็ยังจำได้อยู่ เสร็จแล้วปล่อยไม่ให้ผ่านหูผ่านตาศัพท์ชุดนี้อีกเลย อีกอาทิตย์หนึ่ง มาวัดความจำศัพท์ที่มีอยู่หายไปแล้วครับ อันนี้เมื่อเทียบเคียงแล้ว ก็น่าจะคล้ายๆ กัน คือถ้าเรายังฟังอยู่ก็โอเคยังมีผล แต่พอหยุดสักอาทิตย์ ก็มักจะหายไปแล้ว ยกเว้นเราฟังมานานแล้วมันตกผลึก ตกตะกอน เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว ตรงนั้นอาจที่ให้ระยะเวลาในการจำยาวขึ้นหน่อย
ถ้าต้องการจะจำศัพท์อะไรก็ตาม วิธีที่ทุ่นแรงที่สุดก็คือ อัดเทปทำเป็น Subliminal แล้วทำการท่องจำศัพท์ไปด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นการท่องจำ โดยจิตสำนึกนะครับ แต่ที่เข้าไปทางหูนั้นมันจะเป็นจิตใต้สำนึก ที่มันจะเสริมเข้าไป ถ้าเป็นจิตสำนึกท่องจำทีเดียวไม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะจำศัพท์ได้ประมาณ 7-8 คำอย่างที่บอก แต่ถ้าเราเปิดเทปไปด้วย มันจะช่วยเสริมแรง ฉะนั้นมันจะสามารถทำให้เพิ่มความจำศัพท์ที่เยอะขึ้น เพราะมันเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เข้าไปโดยอัตโนมัติโดยที่เรา ไม่ต้องไปออกแรงเลย
สิ่งที่ผมทำในเทปเพื่อช่วยเพิ่มความจำ ผมทำที่แกนกลาง ซึ่งแกนกลางที่ว่านี้คือ การลบความเครียด ลบความไม่เชื่อมั่น ในความจำของตัวเอง ลบเรื่องรกๆ ที่อยู่ในเนื้อที่ของความจำให้ออกไป ผมไม่ได้ทำเป็นเรื่องๆ ว่าเป็นศัพท์ชุดนี้นะจะต้องจำให้ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ความบ่อยครั้งในการท่อง มันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ว่าถ้ายิ่งท่องบ่อย ความจำก็แม่นยำมากขึ้น "
Subliminal Tape ที่คุณหมอได้นำมาใช้ในบ้านเรา จนเป็นที่ฮือฮาของเหล่าผู้ปกครอง ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการกำราบ เจ้าหนูน้อยจอมซนของคุณพ่อ คุณแม่ให้กลับกลายเป็นคุณหนูผู้น่ารัก
" ในเรื่องที่ช่วยพฤติกรรมเด็กนั้น มันเกิดจากสมมติฐานที่ว่า ทุกคนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากธรรมดาอย่างเช่น การพูดจาหยาบคาย ดื้อรั้น ดื้อเงียบ ซึ่งจุดที่เขาอยากได้ความสนอกสนใจ จากคุณพ่อคุณแม่ คุณครู หรือคนอื่นๆ ที่เป็นที่รักของเขา เขาถึงได้แสดงออกอย่างนั้น ซึ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่อยากจะได้รับความสนใจ จากคนรัก สมมติว่าไปชอบผู้หญิงสักคนหนึ่ง เราก็ทำตามอย่าง ที่ผู้ชายเขาจีบกัน เช่น ให้ของขวัญ นัดชวนกันไปกินข้าว ดูหนัง แต่เด็กเขาไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เด็กรู้เพียงแต่ว่า พฤติกรรมบางอย่างถ้าทำแล้วพ่อแม่ต้องหันมาสนใจ เช่น ร้องโวยวายขึ้นมา หรือทำตัวดื้อ เพราะเด็กคิดว่าเมื่อทำอย่างนี้แล้ว จะได้รับความสนใจจากคนที่เขารัก ตรงนี้เด็กเขาเรียนรู้ได้ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
ทำไมเขาถึงอยากได้รับความสนใจ ก็เพราะว่า เขามีความรู้สึกว่า เขาได้ความรักที่ไม่เพียงพอ อยากที่จะได้มากกว่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าพ่อแม่สามารถเติมเติมความรักให้เขารู้สึกพอ เขาก็จะไม่มีพฤติกรรมที่ดึงดูดความสนใจ หรือพฤติกรรมที่เราไม่ต้องการ ฉะนั้นการทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนด้วยจิตใต้สำนึก จะต้องทำให้เขา เกิดความภูมิใจและมั่นใจตัวเองว่าได้ความรักที่เพียงพอ
แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กรู้สึกว่าเขาได้รับความรักพอเพียง บางคนคุณพ่อคุณแม่ใส่เข้าไปเต็มที่แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า ได้รับความรักไม่พอ บางคนคุณพ่อคุณแม่ให้นิดเดียวแต่เด็กรู้สึกพอ ส่วนเด็กที่คิดว่าได้ไม่พอ เราก็ใส่ข้อมูลลงไปว่าเขาเป็นที่รัก จากนั้นผมก็มาพิสูจน์สมมติฐานว่า ตรงนี้มันเป็นจริงหรือเปล่า ผมก็เลยทำเทปขึ้นมา 2 ม้วน โดยม้วนแรกจะเป็นเพลงเปล่าๆ ส่วนอีกม้วนก็เป็นเพลงที่มีข้อมูลสู่จิตใต้สำนึกที่จะมีข้อมูลบอกว่า เขาเป็นที่รักนะ ทุกคนรักเขานะ เริ่มตั้งแต่ใกล้ชิดที่สุดคือคุณแม่ คุณพ่อ คุณครู ญาติพี่น้อง บอกเขาไปในเทปม้วนนี้ "
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วมาดูในส่วนของการวิจัยที่คุณหมดใช้ Subliminal Tape มาเป็นสื่อช่วยในการพัฒนาอุปนิสัยเด็กกันบ้างดีกว่า ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้ทีมวิจัยได้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
" การวิจัยในเด็กอนุบาลเราใช้ระยะเวลาในการทำตลอดทั้ง 3 เดือน แล้วเราถึงค่อยมาวัดผล ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ในช่วงระหว่าง 1 เดือน 2 เดือน เด็กจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นหรือยังเพราะเราวัดทีเดียวตอน 3 เดือนเลย
ในการวิจัยก็จะใช้ช่วงเวลาบ่ายโมง ซึ่งเด็กอนุบาลพอกินข้าวเสร็จ เขาก็จะนอน ตอนนอนก็จะเปิดเพลงให้ฟังทีนี้ แทนที่จะเปิดเพลง ที่เขาฟังทุกวันก็จะเปลี่ยนเอาเทปม้วนนี้ใส่เข้าไปแทน และเพื่อไม่ให้การวิจัยเป็นอคติ ก็จำเป็นต้องคละ เพื่อที่จะได้ไม่รู้ว่า ม้วนไหนเป็นม้วนไหน โดยให้ห้องนึงฟังม้วนที่เป็นเพลงเปล่าๆ ส่วนอีกห้องหนึ่งฟังเพลงเหมือนกัน แต่มีข้อมูลที่ไปสู่จิตใต้สำนึก จนการวิจัยเสร็จสิ้นถึงค่อยมาเปิดดูว่าเป็นม้วนไหน
เวลาเราคำนวณสถิติในการวิจัยเราจะคำนวณเป็นกลุ่ม เราไม่ได้แยกคำนวณเป็นทีละคนๆ โดยเท่าที่คร่าวๆ ถ้าทั้งกลุ่ม ออกมาดีขึ้น ถ้าพูดถึงในหลักวิชาสถิติโดยตรง ซึ่งผลปลายทางของกลุ่มดีจริง แต่ถ้ามาแยกเป็นรายบุคคลก็มีบางคนดีขึ้นมาก บางคนธรรมดา บางคนแย่ลงนิดๆ แต่โดยรวมเมื่อเอามาบวกลบกันแล้ว ผลที่ได้มันบวกครับ ฉะนั้นในทางปฏิบัติจริงๆ บางคนเอาไปฟังอาจเฉยๆ บางคนฟังแล้วดีขึ้น แต่ติดลบไม่น่าจะมี เพราะข้อมูลที่ใส่เข้าไป มันเป็นทางบวกหมด
ผู้ประเมินผลการวิจัยในเด็กที่ทำมาก็คือ คุณครู ซึ่งจริงๆ แล้ว คุณครูก็ไม่ทราบว่าเราทำอะไรอยู่ โดยก่อนที่เราจะเอาม้วนใหม่ให้เด็กฟัง เราก็จะให้คุณครูประเมินผลเด็กนักเนียนในห้องก่อน พอประเมินเสร็จ เราก็เอาข้อมูลตรงนี้มาแล้วก็เอาเทปที่วิจัยนี้ให้เขาฟังไป เขาก็ไม่รู้พอครบ 3 เดือนปั๊บก็มาประเมินกันอีก ซึ่งโดยความเป็นจริง ครูเองจะมีการประเมินผลของเด็กนักเรียนเป็นระยะๆ อยู่แล้ว ฉะนั้นเราก็ไม่ได้ไปทำให้แผนการประเมินผลของเขาเปลี่ยนไป
ซึ่งผลปรากฏว่าเด็กในกลุ่มที่ฟังเพลงเปล่าๆ พฤติกรรมจะดีขึ้นหน่อยนึง เพราะว่าดนตรีมีส่วนช่วยชโลมจิตใจ พัฒนาจิตใจ เสริมสร้างไอคิวให้ดีขึ้น มีอารมณ์สงบ เยือกเย็น แต่กลุ่มม้วนที่มีข้อมูล ผลที่ได้ปรากฏว่า เด็กเขามีพฤติกรรมที่ดีขึ้น แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งผมว่าผลที่ออกมานี้มันสามารถที่จะพิสูจน์สมมติฐานได้
และที่น่าประหลาดใจที่สุด ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้ก่อนเลย นั้นก็คือ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นปั๊บ สติปัญญาการเรียน ก็ดีขึ้นตามด้วยครับ ถ้าเป็นกราฟมันก็จะวิ่งไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น และถ้าหากเด็กได้ฟังต่อไปเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็น่าจะดีขึ้นกว่านี้อีก "
มีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ว่า ข้อมูลที่บรรจุอยู่ในเทปนั้น พูดอะไรให้กับผู้ฟังบ้างนะ ถึงได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ให้เห็นผลกันแบบนี้
" ภายในเทปจะมีข้อมูลว่าอย่างไร อย่างในเรื่องช่วยความจำได้แม่น จำได้นาน จำได้ละเอียด โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 35-40 ปีขึ้นไป ชักจะไม่ค่อยมีความมั่นใจในเรื่องของความจำของตัวเอง และความมั่นใจนี้เองจะทำให้ประสิทธิภาพความจำนั่นลดลง เราก็จะต้องทำการลบล้างความไม่มั่นใจนี้ออกไปซะ เพื่อให้เขากลับมามั่นใจไม่รู้ตัว แล้วเขาก็จะจำได้ดีขึ้น
ม้วนผ่อนคลายเราก็จะบอกว่า ให้ผ่อนนอคลายนะ มองโลกในแง่ดี เป็นมิตรกับใครต่อใคร ซึ่งเป็นลักษณะที่เอาข้อมูลในด้านบวกใส่เข้าไป ส่วนม้วนที่ช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็ก ก็จะพูดว่า เขาคือที่รักไล่ตั้งแต่ผู้เป็นที่รักที่สุด ซึ่งโดยธรรมชาติก็คือ คุณแม่ คุณพ่อ แล้วก็คุณครู ญาติพี่น้อง จนมาถึงเพื่อน "
การฟังเพลงหรือดนตรีที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลที่ได้มันก็คงหนีไม่พ้น ความเบื่อหน่ายเป็นแน่ ไม่เฉพาะแต่ Subliminal Tape หรอก บรรดาพวกเพลงดังจากค่ายเทปต่างๆ มันก็น่าเบื่อกันทั้งนั้นแหละ ถ้าได้ฟังกันบ่อยๆ
" จะมีอาการเบื่อไหมถ้าได้ฟังบ่อยๆ ตรงนี้เป็นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้น เพราะว่า เป็นของธรรมดาม้วนเดียวกันถ้าฟังมันทุกวันๆ มันก็ต้องเกิดความเบื่อแน่นอน เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็คือ เปลี่ยนเพลงแต่ใช้ข้อมูลเดิม แต่ผมยังไม่มีเวลาที่จะทำในหลายๆ Version ที่ผมทำมาในเรื่องเดียวกันก็จะมีเพลงอยู่แค่ Version เดียว
ในการทำเทปกว่าจะได้สักม้วนนึงมันยากมากเลยนะครับ เพราะผมจะต้องไปรวบรวมก่อนว่า ปัญหาหรือแกนหลักมันอยู่ตรงไหน พอรู้ปั๊บก็มาดูว่า วิธีการแก้ปัญหาที่แกนหลักจะเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้เขียนบทพูดออกมาได้ต่อไปก็จะเป็นส่วนของการหาเพลง ซึ่งผมก็จะต้องเลือกเพลงที่มันตรงกับเรื่องนี้มาจากนั้นก็จะต้องมานั่งมิกซ์ ซึ่งเครื่องมือที่ผมมีอยู่นั้น คือ ผมเองก็ไม่ใช่ระดับมืออาชีพ มันก็ต้องมีผิดพลาดกันอยู่เสมอ ก็ต้องมานั่งแก้ทำกันกว่าจะเสร็จเนี่ย ใช้เวลานานเลยนะครับ เพราะฉะนั้นกว่าจะได้เทปสักม้วน มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับและนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมแต่ละเรื่อง ผมถึงมีแค่ Versionเดียว ซึ่งต้องยอมรับว่าเพลงหนึ่ง Version ถึงจะเพราะแค่ไหน ฟังบ่อยๆ มันก็จะเกิดอาการเบื่อได้ในที่สุด จริงๆ แล้วถ้าต้องการได้ผลที่สมบูรณ์ในการฟังควรจะมีมากกว่าหนึ่ง Version แต่ใช้ข้อมูลเดียวกัน
ในกรณีที่เด็กไม่ชอบฟัง เทคนิคก็คือต้องเลือกเพลงที่เขาชอบ ซึ่งรสนิยมในการฟังเพลงของทุกคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบเพลงประเภทหนึ่ง บางคนชอบเพลงอีกประเภทหนึ่ง มันคล้ายๆ กับการกินผัก ผสมอะไรที่ทำให้รสชาติกลมกล่อม หรืออาจยังไม่ต้องบดก็ได้ เอาเป็นแค่น้ำแกงผักให้เขากินแต่น้ำก่อน ให้รู้ว่ารสชาติผักนี้เป็นอย่างนี้นะแล้วขั้นต่อไปก็อาจบดผักให้เละๆ หน่อยกินง่ายไม่ต้องเคี้ยวจนในที่สุดเขาก็รู้ว่า อ้อ...ผักเป็นอย่างนี้นี่เอง "
และถ้าจะนำ Subliminal Tape มาใช้กับเด็กมีบุคลิกภาพที่เรียบร้อยอยู่แล้ว ซึ่งคุณหมอก็ได้บอกว่าตรงนี้มันคล้ายกับการเสริมวิตามินเท่านั้นแหละ
" เด็กที่ปกติไม่ซุกซนฟังแล้วมักก็เหมือนกินวิตามินอยู่เหมือนกัน ถ้าคนๆ นั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามรับประทานอาหารครบหมู่ ถามว่าจำเป็นต้องรับวิตามินเพิ่มมั้ย ก็ต้องตอบว่าไม่จำเป็นเลยครับ แต่ถ้ามั่นใจว่าครบหรือเปล่าจะฟังเหมือนกับเป็นการเสริมวิตามิน ก็ได้ไม่เสียหายอะไร
ถ้าหากใช้ Subliminal Tape ร่วมกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ถ้าเป็นม้วนผ่อนคลาย หรือเพิ่มความจำ ตรงนี้มันก็สามารถฟังด้วยกันได้ แต่ถ้าม้วนนั้นเป็นสำหรับการพัฒนาในเด็กอนุบาลโดยเฉพาะ ผู้ใหญ่ฟังไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์หรอกครับ"
ถึงแม้จะใช้ Subliminal Tape มาปรับปรุงลักษณะนิสัย จนคิดว่าเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ถ้าหากจิตใต้สำนึกลึกๆ ยังถูกกล่อมเกลา ด้วยสิ่งแวดล้อมอย่างเดิมๆ บางทีก็ช่วยได้ในระยะที่ไม่นานหรอก
" เทปปรับปรุงลักษณะนิสัยพอประเมินผลว่าดีขึ้นแล้ว ถ้าฟังต่อไปมันก็น่าที่จะดีขึ้นนะ แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดของแต่ละคน เพราะภาษาจิตวิทยาที่บอกว่าบุคลิกภาพของนิสัยจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือ พันธุกรรม ตรงนี้เราเปลี่ยนสายพันธุ์เขาไม่ได้อยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ สิ่งแวดล้อมการเลี้ยงดู ถ้าสิ่งแวดล้อมดูไม่เปลี่ยน ต่อให้ฟังจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตก็คงลำบากอยู่เหมือนกัน สมมติว่า พ่อแม่เป็นคนบุคลิกภาพไม่ดี นิสัยไม่ดี แล้วถ่ายทอดมาสู่ลูก ก้าวร้าวอันธพาลอันนี้มันก็แก้ไขไม่ได้
วันก่อนผมไปบรรยายมีพัศดีเข้ามาพูดกับผม ซึ่งเขามีความสนใจ เกี่ยวกับ Subliminal Tapeโดยเสนอว่าจะลองเอาไปให้นักโทษฟัง ผมก็คิดว่าเออ...อยากลองดูเหมือนกัน แต่ถ้าพูดกันตามทฤษฎีแล้ว มันเป็นจิตที่ลึกมากนะครับ เพราะพวกนี้จิตใต้สำนึกของเขามันฝังรากลึก ลงไปมากจากที่เขาเรียนรู้ หรือเขาได้รับกันสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีต่อตัวเขา แล้วการที่เราจะไปเปลี่ยนเขาในเวลาสั้นๆ เนี่ย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะต้องค่อยๆ เปลี่ยน ซึ่งตรงนี้มันก็อยู่ที่ความลึกความตื้นของปัญหา ที่เราต้องการแก้ไขด้วย ยิ่งลึกเท่าไหร่ การใช้เวลามันก็ยิ่งนานเท่านั้น แต่ถ้าถามว่า พอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้มั้ย มันก็คงพอจะช่วยได้บ้าง
จุดสำคัญที่สุดของพฤติกรรมของมนุษย์นั้นก็อยู่ที่จิตใจ ซึ่งรวมไปถึงจิตใต้สำนึกด้วย ฉะนั้นถ้าเราสามารถที่ใส่ข้อมูลเข้าไป ในจิตใต้สำนึก จะเป็นข้อมูลอะไรก็ได้แล้วแต่ที่ใจเราต้องการ เลิกบุหรี่ ลดน้ำหนัก ทำให้มองโลกในแง่ดี ทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้มีความกระตือรือร้น เลิกผัดวันประกันพรุ่ง หรืออะไรก็ได้ ที่เราจะใส่ตรงนี้ ทำให้ในเรื่องกระประยุกต์ใช้มันจึงกว้างขวางมาก ใช้ได้หมดเลยครับ เพียงแต่ว่าในแต่ละเรื่องนั้น จะได้ผลมากหรือน้อย ไม่เท่ากัน เพราะว่าหัวข้อในแต่ละเรื่องมันมีความลึกต่อระดับจิตใจลึก หรือตื้นไม่เท่ากัน ถ้าผ่อนคลายอย่างเดียว ตรงนี้ง่ายมากเลยครับ เพราะมันตื้นทำเพียงแค่ให้ความทุกข์ผ่อนคลาย แต่ถ้าลึกลงไป ถึงขั้นการเปลี่ยนพฤติกรรมจากคนที่ก้าวร้าว เป็นฆาตกร ตรงนี้ยากนะครับ
และผมอยากจะบอกว่า โครงสร้างของจิตใจ กลไกของจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนเหมือนกันหมดครับ ฝรั่งถ้าได้มาเรียน พุทธศาสนา เขาจะนิพพานได้มั้ย เขาก็สามารถนิพพานได้ ถึงแม้ว่าเขาจะนับถือศาสนาอื่นมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อเขามาศึกษาศาสนาพุทธ ทำจิตใจละวางได้ทั้งอนิจจัง ไปถึงขั้นอนัตตา จิตใจเป็นแค่ส่วนกลางมีเพียงทัศนคติ วัฒนธรรมเท่านั้นที่ไม่เหมือน หรือต่างกันก็เพียงวิถีชีวิตของสังคมนั้ ๆ ซึ่งผลที่ออกมาก็ได้ดีเหมือนเดิม เพราะเขาได้แก้แบบฝรั่ง ประยุกต์แนวคิดวัฒนธรรมแบบฝรั่ง ส่วนเราแก้แบบแนวคิดวัฒนธรรมแบบไทย แต่ทั้งนี้วิธีการแก้ ก็อยู่ในเรื่องเดียวกัน แนวทางเหมือนกัน แต่คำพูดที่ใช้ต่างกัน "
มีคำถามมากมายเหลือเกินที่มักจะกล่าวอ้างถึงว่า เปิดเพลงอย่างนั้นอย่างนี้จะมาช่วยให้บุตรในครรภ์ของคุณแม่ เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ จนทำให้เราอยากจะรู้จริงๆ หน่อยล่ะว่า Subliminal Tape นี้จะเข้ามาช่วยเป็นแนวทางดีๆ ให้กับสตรีมีครรภ์ ได้หรือเปล่า
" ในกรณีที่คุณแม่ตั้งครรภ์อยู่จะฟังเทปตัวนี้ ผมก็ต้องขอเรียนตามตรงว่า ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะข้อมูลที่เราใส่เข้าไปมันเป็นคำพูด เด็กในท้องเขายังไม่เข้าใจคำพูด ฉะนั้นใส่เข้าไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ถ้าหากว่าแม่ฟังม้วนสำหรับแม่ ก็อาจเป็นประโยชน์ได้ ตรงที่ว่าอัตราการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวของร่างกาย อวัยวะของแม่เป็นสิ่งแวดล้อมของเด็ก ถ้าแม่ตกใจตลอดเวลา หงุดหงิด ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเยอะ ซึ่งเด็กในท้องเขารับรูนะครับ แม่เครียดเด็กในท้องก็จะมีแนวโน้ม ที่จะเป็นเด็กที่เครียดง่าย ทีนี้ถ้าแม่ฟังแล้วไม่เครียด เด็กอาจดี แต่ถ้าฟังสำหรับเด็กโดยตรงได้มั้ยก็ต้องบอกอีกทีว่า ไม่มีประโยชน์ครับ เด็กไม่รู้ภาษา แต่ถ้าคลอดออกมาแล้วกล่อมเกลาไปเรื่อยๆ มันก็พอได้เพราะว่าเขาเริ่มที่จะเรียนรู้ภาษาแล้ว ฉะนั้นฟังได้ตั้งแต่คลอดออกมา
ด้วยความที่เป็นเสียงดนตรีมันจะสงบด้วยธรรมชาติของมันเองอยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในท้องเสียงดนตรีจะช่วยเด็กมั้ยตรงนี้ผมไม่แน่ใจ เพราะว่าเสียงดนตรีก็คือ วัฒนธรรมที่มนุษย์เราเรียนรู้หลังจากที่เกิดมาแล้ว เรารู้ว่านี่คือเสียงที่ไพเราะ หรือเพลงนี้มีความหมายดี แต่ถ้าอยู่ในท้อง เด็กไม่เคยฟังดนตรีมาก่อน เขาจะรับรู้ถึงประโยชน์ของดนตรีมั้ย ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่
มีอยู่ตัวอย่างหนึ่งที่คนมักเข้าใจกันคือ ถ้าเราให้ข้อมูล ในขณะที่เด็กหลับแล้วไปกรอกหูว่า อยากให้เขาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นคนดีหรือเรียนเก่ง มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ เพราะจากการสแกนสมองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็พบว่าเนื้อสมองส่วนที่เป็นเซนเตอร์ของการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ หยุดทำงานไปด้วยระหว่างที่คนเราหลับ แต่ถ้าเขาเคลิ้มๆ หรือก่อนหลับ อย่างนี้มันก็พอช่วยได้ อย่างเทปภาษาก่อนที่เขาหลับก็ให้ฟังได้ เพราะเขายังรับรู้ข้อมูลอยู่ ซึ่งมันเข้าทั้งทางจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก "
และแล้วก็มาถึงตอนจบที่เราอยากจะถามคุณหมอว่า คนไทยจะได้อะไรจาก Subliminal Tape นี้บ้าง
" แล้ว Subliminal Tape จะช่วยอะไรกับสังคมไทยได้บ้าง ลองคิดดูซิครับ เฉพาะเด็กที่ทำไปนี่นะครับเมื่อฟังไปแล้วสุขภาพจิตเป็นปกติ การเรียนดีขึ้น ก็แปลว่าเยาวชนของเราเนี่ย สามารถที่จะพัฒนาในเรื่องสติปัญญา สุขภาพจิตได้ดีขึ้นแน่นอน เพราะฉะนั้นมันจึงมีประโยชน์อย่างมหาศาล และถ้าเป็นผู้ใหญ่มันก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน เพียงแต่มันจะยากหรือง่าย เท่านั้นแหละ แต่ที่ทำไปแล้วอย่างเด็กเห็นได้ชัด เพราะถ้าสุขภาพจิตปกติ การเรียนก็ย่อมดีขึ้น ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ความจำดีขึ้น ผ่อนคลาย
ผมมีเพื่อนเป็นหมอสูติ เขาบอกว่า เออ...เวลาที่ผู้หญิงคลอดนี่นะ จะปวดท้องมากเลย จะทำอย่างไรดีให้การทนต่อการเจ็บปวดมันเพิ่มขึ้น ซึ่งเพลงนี้มันก็ช่วยได้ หรืออย่างคนไข้นั่งรออยู่ หงุดหงิด คนไข้ในโรงพยาบาลมีเป็นร้อยกว่าจะถึงคิวตัวเอง พอฟังเพลงพวกนี้ไป มันก็ผ่อนคลาย หรือทำงานอยู่ในออฟฟิศ ก็เปิดเพลงที่มีข้อความที่กระตุ้น ให้เกิดความกระฉับกระเฉง กระตุ้นให้เลิกผัดวันประกันพรุ่ง กระตุ้นให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ก็จะทำให้การทำงานเต็มไปด้วยความสนุก จินตนาการไปซิครับมันช่วยได้หมดเลย
สิ่งสำคัญของ Subliminal Tape ก็คือ ข้อมูล ถ้าเปรียบแล้วข้อมูลก็คือ พระเอก ดนตรีที่ได้ยินผ่านหูเป็นพระรองเท่านั้น ผมใช้พระรอง ให้เป็นประโยชน์ เพราะผมรู้ว่าเพลงประเภทไหนเหมาะกับเรื่องอะไร แต่มันไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือข้อมูลที่จะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึก เพราะว่าถ้าผมไม่เอาดนตรีได้มั้ย ได้นะครับ ก็เอาเสียงธรรมชาติ ผมเอาเสียงโมโนโทน อย่างเช่น 500 เฮิรตซ์ ที่มีเสียงซ่าอย่างเดียว มาลบข้อมูลที่ผมใส่เข้าไปก็ได้ แต่คนอยากฟังมั้ยเสียงพวกนั้น เขาไม่อยากหรอก
คนทั่วไปคิดว่านี่คือดนตรีบำบัด มันไม่ใช่นะครับ เป็น Perception without Awaress หรือ Subliminal Perception เป็นการรับรู้ผ่านจิตใต้สำนึก โดยการเอาข้อมูลผ่านจิตใต้สำนึกนี้ ไปเปลี่ยนในสิ่งที่เราอยากจะให้เปลี่ยน เพิ่มในสิ่งที่เรา อยากจะให้เพิ่มตามต้องการ ดนตรีเป็นแค่ส่วนประกอบ
และท้ายที่สุดนี้ผมอยากจะบอกว่า Subliminal Tape ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ทั้งหมด ไม่ได้เป็นยาวิเศษ ถ้าเปรียบเป็นอาหารก็อย่างที่บอกเป็นเพียงแค่วิตามินเสริมเท่านั้น คือถ้าเป็นโรคแล้ว ต้องกินยาแล้วไปทำการรักษากับคุณหมอนะครับ แต่ถ้าอยากจะได้ตรงนี้ไปเป็นส่วนเสริมผมก็ยินดี แต่อย่าคาดหวังไว้สูงนะครับว่ามันจะทดแทนทุกอย่างได้ "
จากบทหนึ่งที่ฟรอยด์ได้เขียนขึ้นมาจากการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ทางด้านการรับรู้ ก็ทำให้เราทราบว่าจริงๆ แล้ว ถ้าหากว่าเราถูกกล่อมเกลา จนทำให้เกิดจิตสำนึกที่ดีงาม ส่วนหนึ่งในการกำหนดพฤติกรรมนั้นก็คือ จิตใต้สำนึกที่เราถูกปลูกฝังนั้นเอง จนเมื่อ Subliminal Tape เข้ามาสัมผัสกับชีวิตมนุษย์ และชีวิตของคนไทยเด็กไทย ด้วยการหล่อหลอมจิตใจจนเกิดความคิดที่ดีงาม ทำให้เราอยากจะเอ่ยคำว่า ขอขอบคุณให้กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข ไว้ ณ ตรงนี้จริง ๆ

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งานที่ยากที่สุด คือการคิด

เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ยี่ห้อฟอร์ดกล่าวไว้ว่า "งานที่ยากที่สุด คือการคิด จึงไม่ค่อยมีคนอยากจะคิดกันสักเท่าไร"
การคิดคือ สิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีกว่าสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น ๆ ในโลกนี้ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างใช้ความสามารถนี้เพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น และสร้างชีวิตในแบบที่ตนต้องการ คุณ เท่านั้นที่สามารถริเริ่มสร้างสรรค์ ทัศนคติและ ความคิดต่าง ๆ ขึ้นได้ พลังความคิดนั้น เป็นสิ่งที่ ทั้งวิเศษ และก็น่ากลัว ในเวลา เดียวกัน แต่มนุษย์มีความสามารถด้านความ รู้สึก นึกคิดที่บางครั้งผู้อื่นก็ไม่เข้าใจ
แอนโธนี่ ร็อบบินส์ ได้เขียนหนังสือชื่อ "Unlimited Power" ขึ้นเพื่อขยาย ความเกี่ยวกับทฤษฎี Neuro Linguistic Programming ซึ่งเป็นทฤษฎี เรื่องอำนาจแห่งจิตใจ การควบคุม อำนาจแห่งจิตใจและใช้อำนาจนี้ให้เกิดประโยชน์ ทฤษฎีนี้เดิมพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นระบบการสื่อ สารที่ใช้ระบบประสาทส่วนกลาง จากระบบดังกล่าวนี้ ร็อบบินส์จึงเขียน หนังสือขึ้นเพื่อชี้แนวทางในการปลดปล่อย อำนาจแห่งจิตใจนี้เพื่อให้คุณ บรรลุเป้าหมาย ที่ครั้งหนึ่งคุณเคยคิดว่าไกลเกินเอื้อม
ขั้นแรกในการใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านจิตใจที่แท้จริงของคุณคือ คุณต้อง เข้าใจสิ่งที่ร็อบบินส์อ้างถึงในหนังสือของเขาในฐานะกลไกกระตุ้นทั้ง 7

>>1.ไฟ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงต่างก็มีพลังขับภายในตัวซึ่ง ต่างจาก ผู้อื่น พลังที่ว่านี้คือ ความปรารถนาอันล้ำลึก ที่เป็นเชื้อเพลิง ให้ก้าวไปสู่ความ สำเร็จ ได้ในที่สุด พลังนี้จะอยู่ในตัว พวกเขาตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีวัน เหือด หาย ไฟแห่งความมุ่งมั่นจะทำให้ผู้นั้น เต็มไป ด้วยความทะเยอทะยาน เขาจะไม่ยอม รามือจนกว่า จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้

>>2.ความเชื่อมั่น
เวอร์จิล กวีโรมันกล่าวไว้ว่า "ความเชื่อมั่นทำให้คนเราทำได้ทุกสิ่ง" คุณจะทำเงินได้ มากมาย หากคุณเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ แต่ถ้าขาดความ เชื่อมั่นแล้ว ทุกอย่างก็จะดู ห่างไกลไปหมด สัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิต ก็คือ ขอบเขตความสามารถของ มนุษย์มาจากจิตใจ เมื่อจิตใจ เชื่อมั่นว่า ทำได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเกินความสามารถเลย ถ้าคุณขยายขอบเขต ความ เชื่อมั่นใน ความสามารถของคุณเองแล้ว ก็เท่ากับว่าคุณ ได้ ขยายขอบเขต ความสำเร็จ ของตนเองให้ กว้างขึ้นอีกด้วย ขอยกตัวอย่างชาย คนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิต อยู่ท่ามกลางความยากลำบาก แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าสักวันจะประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้คือชีวิตคร่าว ๆ ของเขา
>ล้มเหลวในการทำธุรกิจเมื่ออายุ 31 >แพ้การแข่งขันด้านกฎหมายเมื่ออายุ 32 >ล้มเหลวในการทำธุรกิจอีกครั้งเมื่ออายุ 34 >สูญเสียคู่ชีวิตเมื่ออายุ 35 >มีอาการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จนล้มป่วยเมื่ออาย 36 >แพ้การเลือกตั้งเมื่ออายุ 38 >พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเมื่ออายุ 43 >พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาอีกครั้งเมื่ออายุ 46 >พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเมื่ออายุเมื่ออายุ 48 >พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่ออายุ 55 >พลาดไม่ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดีเมื่ออายุ 56 >พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาอีกครั้งเมื่ออายุ 58 >ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่ออายุ 60

>>3.กลยุทธ์
กลยุทธ์คือแผนเกมชีวิตของคุณ เปรียบเสมือนแผนที่ที่จะนำพาคุณ ไปสู่ความสำเร็จ ความเชื่อ มั่นอย่างเดียวคงไร้ผลหากขาดกลยุทธ์ ที่เหมาะสมไว้เป็นแนวทาง กลยุทธ์ ที่ดี จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จโดยไม่ทำให้ชีวิตหักเห และเป็นทางลัดสู่เป้าหมายที่สั้นที่สุด


>>4.ตั้งคุณค่าให้ชัดเจน
ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เราสำรวจว่าเรามี ความรู้สึก อย่างไรต่อสิ่งเหล่านี้ เช่น ความรัก ความภูมิใจในตัวเอง อิสระ ความเป็นเลิศ ความ เป็นเจ้าของ ความรักชาติ และความโอนอ่อนผ่อนปรน เพราะสิ่งเหล่านี้คือ ค่านิยม ในสังคมที่คนทั่วไปใช้เป็นบรรทัดฐาน ในการ ตัดสินซึ่ง คนส่วนใหญ่เห็น ตรงกัน ว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากเราไม่มี ความเชื่อ เรื่องคุณค่าที่ชัดเจนแล้ว การจะเชื่อ ในสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่มีค่าสำหรับเรา ก็เป็นเรื่องยาก เมื่อเราตั้งระบบความเชื่อ เรื่องคุณค่า ของเรา ได้แล้ว เราก็จะ สามารถ กำหนดวิถีทางที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ โดยมี พื้นฐาน มาจากความ สำคัญก่อนหลัง ที่เรามีต่อคุณค่าในด้านต่าง ๆ การให้ความ สำคัญ เรื่องคุณค่าจะทำให้เรามีแนวทางที่ชัดเจนขึ้น

>>5.เรี่ยวแรง
ร่างกายที่แข็งแรงคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จนอกจากนั้นเราก็ควรมีจิตใจและทัศนคติที่ "แข็งแรง" เช่นกันความลับสู่ร่างกายที่แข็งแรงพร้อมลุยก็คืออาหารที่มีประโยชน์เราจึงควรสร้างสุขนิสัยที่ดีในการกินและตีตัวออกห่างอาหารขยะจำพวกฟาสต์ฟูดทั้งหลายส่วนความแข็งแรงทางด้านจิตใจและสติปัญญานั้น มาจากสภาพแวดล้อม ที่ดีรอบตัวเรานั่นเอง

>>6.มนุษยสัมพันธ์
เราคงเคยเห็นคนที่สามารถเข้าได้ผู้อื่นได้ทุกคน ในการสร้างสัมพันธ์ กับผู้อื่นนั้น เราควรระลึกเสมอว่าคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงควรเคารพ ความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากที่สุด >>7.อย่าให้ใจเป็นนายอย่าตกเป็นทาสของจิตใจ คุณควรใช้สมองเป็นหลักแทนที่จะปล่อย ให้จิตใจ เป็นตัวนำชีวิต เมื่อคุณควบคุมจิตใจของตนเองได้แล้ว เราก็จะสามารถ บังคับทั้งใจและกายให้สอดคล้องกัน และนำคุณสู่ความสำเร็จได้โดยง่าย

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คู่มือ 10B

ควรจะมี BRAIN พอๆ กัน จะได้พูดคุยปรึกษาหารือกันได้ถ้าแตกต่าง กันมากก็อาจจะทำให้ชีวิตคู่หดหู่ได้ เพราะอาจจะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนคนที่พูดเรื่องเดียวกันแต่คนละภาษา ทั้งๆ ที่ใช้ภาษาไทยเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะ BRAIN แตกต่างกันนั่นเองเมื่อเร็วๆนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ชายหนุ่มฝรั่งมังค่าตาน้ำข้าวคนหนึ่งถึงเรื่องราวของการหาคู่ครองว่าเขามี มุมมองอย่างไร แต่ต้องขออภัยที่ไม่สามารถระบุชื่อเสียงเรียงนามของเขาได้ ชื่อเสียงเรียงนามของเขาอาจจะไม่สำคัญเท่ากับเนื้อหาที่เขาถ่ายทอดออกมา ซึ่งดูน่าสนใจกว่าเยอะเลยเป็นเนื้อหาของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งบอกว่าในฐานะที่เป็นผู้ชายจะหา คู่มาแนบกาย พิจารณาผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นคู่ชีวิตต่อไปในอนาคตอันยาวนานจากอะไร เขาบอกว่าเขาจะพิจารณาจาก 10B ด้วยกัน ซึ่งอาจจะเริ่มจาก B ไหนก่อนหลังก็ได้ แต่ก็อยู่ใน B นี้ก็แล้วกัน มิใช่ว่าเมื่อเอ่ยถึง B แรกแล้วหมายความว่าต้องพิจารณาเป็นอันดับหนึ่ง อาจจะพิจารณาเป็นอันดับสุดท้ายก็ได้ แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคล แต่สำหรับชายหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวรายนี้บอกว่า เขาจะดูที่
BEAUTIFUL เป็น B แรก เขาบอกว่า เหตุที่มองเรื่อง BEAUTIFUL หรือ ความสวยงาม ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะความสวยงามเป็นจุดที่สัมผัส ได้ทันทีด้วยสายตา เมื่อสัมผัสด้วยสายตาแล้ว ก็ทำให้เกิดความคิดเห็นที่กรองออกมาขั้นต้นว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบก็อาจจะประสานสัมพันธ์กันต่อไป ถ้าไม่ชอบก็อาจจะเฉยๆ หรือเฟดออกไป ถึงความสวยงามจะไม่มีมาตรฐานกำหนดไว้ชัดเจนว่าแค่ไหน ถึงจะเรียกว่าสวยงาม เพราะรสนิยมหรือความชอบของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไป ผู้หญิงคนเดียวกัน ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าสวย อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่สวยก็ย่อมได้ เรียกได้ว่าของแบบนี้อยู่ที่นานาจิตตัง แต่ผู้ชายส่วนมากก็พอมองออกว่า ความสวยงามของผู้หญิงแบบไหนถึงจะเรียกว่าสวย สรุปได้ว่า เขาจะมองที่ BEAUTIFUL หรือความสวยงามเป็นอันดับแรก B ที่สองที่เขามองถัดมาคือ
BODY ซึ่งหมายถึง ร่างกาย หรือ เรือนร่างของผู้หญิง นั่นเอง ขณะที่ผู้ชายคนหนึ่งอาจจะมองว่า เรือนร่าง หรือ "หุ่น" ของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ไม่ได้คิดคำนึงแต่อย่างใด ขอให้มีรูปร่างและอวัยวะครบสามสิบสองก็เพียงพอ แต่ก็มีผู้ชายไม่น้อยที่มองเรื่องของ "เรือนร่าง" หรือ "หุ่น" เป็นเรื่องสำคัญด้วย บางคนชอบผู้หญิงหุ่นดีที่ไม่อ้วนไม่ผอมเกินไป ขณะที่ผู้ชายบางคนก็อาจจะชอบหุ่นผอมๆ หรือเจ้าเนื้อหน่อย เคยได้ยินผู้ชายคนหนึ่งบอกว่า เขามักจะมองหาผู้หญิงที่มีหุ่นเล็กๆ หรือตัวเล็กๆ เป็นแฟนเท่านั้น ตัวใหญ่ๆ จะไม่สนใจเลย แต่ผู้ชายส่วนมากก็คงจะเหมือนกับฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ ที่บอกว่าเขาจะพิจารณาผู้หญิง ที่มาเป็นคู่ครองที่รูปร่างด้วย เขาจะดูว่าหุ่นดีไหม ถ้าหุ่นไม่ดีเขาจะไม่เสียเวลามอง นอกจากดูหุ่นโดยรวมแล้ว บางคนจะพิจารณาเน้นอวัยวะบางส่วนของร่างกายเป็นพิเศษอีกด้วย อย่างเช่นฝรั่งคนที่ว่านี้ เขาจะเน้นที่หน้าอกเป็นพิเศษ ถ้าประเภทหน้าอกไข่ดาวเขาจะไม่มองเลย เคยได้ยิน ดีเจ.รายการทอล์คทางวิทยุคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเอ่ยชื่อหลายคนคงรู้จัก ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า เขาชอบเรียวขาของภรรยาของเขามากที่สุด และที่ตัดสินใจแต่งงานกับภรรยา เรียวขาก็มีส่วนกำหนดการตัดสินใจ ทุกวันนี้เขาจะให้ภรรยาใส่กระโปรงสั้น เพื่อโชว์เรียวขาอยู่ตลอด ถ้าใส่กระโปรงยาวเมื่อไร เขาจะหงุดหงิดไม่ค่อยสบอารมณ์ นอกจากชอบเรือนร่าง หรือ BODY ในส่วนของเรียวขาแล้ว ยังมีบางรายให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ "ช่วงลำคอ" ต้องคอได้สัดส่วนสวยงาม ระหง ถึงจะเกิดความสนใจเป็นพิเศษ เรื่องของ BODY ก็อยู่ที่นานาจิตตังเช่นกัน B ที่สามคือ
BRAIN หรือ "สมอง" ฝรั่งคนนี้ก็คงเหมือนกับผู้ชายทั่วๆ ไป ที่เวลาคิดจะหาคู่ครองคงมองที่ "สมอง" เหมือนกัน แต่อาจจะมีบางรายเหมือนกัน ที่ไม่สนใจเรื่องสมอง ขอให้สวยงามอย่างเดียวเป็นใช้ได้ "สมอง" ในที่นี้มีความหมายอยู่ที่ สติปัญญา ความรู้สึกนึกคิด ฝรั่งคนนี้บอกว่า BRAIN เป็นเรื่องสำคัญ ควรจะมี BRAIN พอๆ กัน จะได้พูดคุย ปรึกษาหารือกันได้ ถ้าแตกต่างกันมาก ก็อาจจะทำให้ชีวิตคู่หดหู่ได้ เพราะอาจจะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนคนที่พูดเรื่องเดียวกัน แต่คนละภาษา ทั้งๆ ที่ใช้ภาษาไทยเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะ BRAIN แตกต่างกันนั่นเอง เรื่องของ BRAIN หรือสมอง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ที่คนจะนำมาพิจารณา B ที่ 4 คือ
BREAD ที่แปลว่า ขนมปัง นี่แหละ สำหรับคนไทยอาจจะงงๆ ว่า BREAD หรือ ขนมปัง จะมาเกี่ยวอะไรกับการหาคู่ครอง แต่สำหรับฝรั่งมังค่าแล้ว BREAD ที่แปลว่า ขนมปังนี้ มีความหมายถึงการทำขนมปังเป็น หรือทำอาหารให้รับประทานได้ นั่นเอง เขาบอกว่า การทำอาหารได้ดีมีรสชาติเอร็ดอร่อย ก็เป็นคุณสมบัติอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเขาต้องการ เพราะเขาต้องการทานอาหารที่บ้านบ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ เพื่อความอบอุ่นของครอบครัว จึงอยากได้คู่ครองที่คล่องแคล่วเรื่องอาหารเหมือนกัน ทีแรกนึกว่ามีแต่ชายไทยที่ชอบหาคู่ครองที่ทำอาหารอร่อย ผู้ชายฝรั่งก็ชอบด้วยเหมือนกัน B ทื่ 5 ถัดมาคือ
BREAKFAST ที่แปลว่า อาหารมื้อเช้า B ที่ 5 นี่ยิ่งสร้างความงุนงงเข้าไปใหญ่ว่า BREAKFAST จะมาเกี่ยวข้องอะไรกับการหาคู่ครอง พอได้ฟังเขาอธิบายแล้วถึงร้องอ๋อ เขาบอกว่า BREAKFAST นี่ไม่ได้หมายถึงต้องการให้คนที่จะมาเป็นภรรยาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เท่านั้น แต่ถ้าเตรียมไว้ได้ก็ดี เขาบอกว่า การหาคู่ครองที่สามารถเตรียมอาหารเช้าได้เป็นเพียง กลยุทธ์ ที่จะได้คู่ครองที่ "ตื่นเช้า" เพราะถ้าตื่นเช้าไม่ได้ ก็คงเตรียมอาหารเช้าไม่ได้เช่นกัน เขาฝันอยากได้คู่ครองที่ไม่ต้องทำงานนอกบ้านจึงต้องการคู่ครองที่ตื่นเช้าการบอกให้คู่ครองตื่นเช้า คงฟังไม่ดีเท่าไร แต่ถ้าบอกให้ช่วยเตรียมอาหารเช้าให้หน่อยค่อยดูดีขึ้นมาบ้าง เขาจึงอยากได้พวกที่มีคุณสมบัติ B.........BREAKFAST มาเป็นคู่ครอง B ที่ 6 คือ
BED ที่แปลว่า เตียงนอน แต่ฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ไม่ได้มุ่งหาคู่ครองที่ชอบสะสมเตียงนอนหรือชอบนอนเขาหมายถึง"กิจกรรมบนเตียง" ของชายหนุ่มหญิงสาวมากกว่า เขาจึงเอยคำว่า BED ออกมาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการมองหาคู่ครองของเขา
เขาบอกว่าเพศสัมพันธ์ที่ไปกันได้ดี เป็นสิ่งที่เขาต้องนำมาพิจารณานั่นหมายถึงว่า เขาจะต้องมีเพศสัมพันธ์กับคนที่จะมาเป็นคู่ครองของเขาก่อนแต่งงาน เรื่องกิจกรรมบนเตียงก่อนแต่งนี่ สำหรับคนไทยอาจจะสองจิตสองใจ แต่สำหรับฝรั่งมังค่าถือเป็นเรื่องธรรมดา เขาจึงพิจารณาถึง BED ในการเลือกคู่ครองด้วย B ที่ 7 นี่ก็เด็ดสะระตี่ ดีเหมือนกัน คือ
BLAND ที่แปลว่า ประจบประแจง เขาบอกว่าผู้หญิงที่ประจบประแจงเก่ง จะเป็นตัวเร่งเสน่ห์ในตัวเองให้เกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงที่เฉยๆ เขารู้สึกว่ามันจืดชืดเย็นชา สำหรับ B ที่ 8 คือ
BEWITCH ที่มีความหมายว่า "มีเสน่ห์ให้คนหลงใหล" เขาบอกว่าคุณสมบัติข้อนี้เป็นสิ่งที่หายาก แต่เขาก็ยังอยากหา เพราะเขาไม่ต้องการหลงใหล คนที่จะมาเป็นคู่ครองของเขาเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว 2-3 ปี หลังแต่งงานเท่านั้น แต่เขาต้องการหาหญิงสาวที่มีเสน่ห์ให้เขาหลงใหลอยู่ตลอดเวลาตราบนานเท่านาน เรื่องของเสน่ห์นี่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะเสน่ห์ที่ดึงดูดใจคนๆ หนึ่ง อาจไม่ดึงดูดใจคนอีกคนหนึ่งก็ได้ เป็นเรื่องของต่างจิตต่างใจอีกเหมือนกัน หันมาทาง B ที่ 9 คือ
BACK UP ที่มีความหมายว่า สนับสนุนอยู่ข้างหลัง หรือเป็นทัพหลังที่คอยส่งเสริมให้คู่ครองได้ดี เขาบอกว่าคุณสมบัติข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาใฝ่หาเหมือนกัน เพราะเขาเชื่อว่าถ้าชีวิตจะก้าวหน้าได้ เขาต้องมี BACK UP ที่เข้มแข็ง เขาจึงพยายามหาผู้หญิงที่เขาคิดว่าน่าจะเป็น BACK UP ให้เขาได้เป็นอย่างดี BACK UP ก็มีทางทำได้หลายทาง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการเน้นด้านไหน แต่พอเขาเอ่ย B ที่ 10 ออกมา จึงพอรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการให้คู่ครอง BACK UP ด้านไหน เพราะ B ที่ 10 ที่เขาต้องการคือ
BIG BANK (ACCOUNT) ที่พอจะหมายความได้ว่า มีเงินเยอะๆ ในบัญชีที่ธนาคาร เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการกัดก้อนเกลือกินหลังแต่งงาน แต่เขาต้องการให้ครอบครัว มีชีวิตที่สุขสบายตามสมควร โดยเฉพาะลูกที่จะเกิดตามมา เขาจึงต้องหา BIG BANK มาบวกกับ BIG BANK ของเขา หรือมาเพิ่มให้เกิด BIG BANK ของครอบครัวด้วยกัน ทั้งหมดนี่ก็เป็นความฝันที่ต้องการให้เป็นไปได้จริงของชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งมองหาหญิงสาวมาเป็นคู่ครอง สาวไทยคนไหนที่มีคุณสมบัติ 10 B ตามที่จาระไนมาทั้งหมดนี้ ก็ลองติดต่อมา จะหาทางแนะนำให้รู้จัก เผื่อศรรักจะปักอกเข้าให้บ้างไงล่ะ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คุณมีความสุขแค่ไหน

คนเรามักรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาไหนที่ตัวเองไม่มีความสุข และเวลาไหนที่มีความสุขในชีวิต แต่ถ้าถามว่า "คุณมีความสุขแค่ไหน" ก็อาจตอบให้ชัดเจนลงไปไม่ได้ โรเบิร์ต ฮาร์ริงตัน ได้ออกแบบทดสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยดูจากลักษณะนิสัยที่พบทั่วไปในหมู่คนที่มีความสุขและปรับตัวได้ดี แบบทดสอบนี้จะช่วยวัดระดับความสุขของคุณ เลือกคำตอบที่ตรงกับความรู้สึกหรือสถานการณ์ของคุณเองมากที่สุด (อย่าหลอกตัวเองโดยพยายามเลือกข้อที่ดูเหมือน "มีความสุขที่สุด") ถ้าไม่มีตัวเลือกที่ตรงเลย ก็ให้เลือกคำตอบได้ 2 ข้อ แต่ห้ามเกินนั้น

1. ถ้าให้คุณมีโอกาสเลือกงานชิ้นต่อไปได้ คุณจะเลือกงานแบบไหน
ก. งานที่ยากและท้าทาย ถ้าคุณทำงานนั้นสำเร็จก็จะได้เลื่อนตำแหน่งไปทำงานบริหาร
ข. งานที่คุณถนัด เพราะเหมาะกับพลังและความสามารถของคุณ
ค. งานพื้นๆ ที่ได้ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญและมีอำนาจ
2. คุณชอบช่วยเหลือคนอื่นใช่หรือไม่
ก. ใช่ เวลาใครขอร้องก็แทบไม่เคยปฏิเสธ
ข. ใช่ ถ้าไม่ลำบากและช่วยเหลือเขาได้จริง
ค. ไม่เชิง แต่ก็ยอมทำให้ เวลาที่รู้สึกว่าตัวเองติดค้างคนที่ขอร้อง หรือถ้ามีเหตุผลจำเป็นบางอย่างบังคับให้ทำ
3. ปกติแล้วการนอนของคุณเป็นอย่างไร
ก. หลับสนิท หลับง่าย
ข. หลับไม่สนิท ตื่นง่าย
ค. หลับสนิท แต่หลับยาก
4. คุณอยากอยู่ตามลำพังบ้างไหม
ก. ที่สุดเลย ช่วงเวลาที่สงบและสร้างสรรค์ที่สุดก็คือ ตอนที่ได้อยู่ลำพังคนเดียว
ข. ไม่เลย ชอบให้มีผู้คนอยู่รอบข้างมากกว่า
ค. ไม่หรอก อยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้อยากนะ
5. คุณให้ความสำคัญแค่ไหนกับการดูแลให้รอบๆ ตัวคุณสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ก. สำคัญมาก ความเลอะเทอะของคนอื่นพอทนได้ แต่ของตัวเองทนไม่ได้เลย
ข. ที่จริงก็สำคัญนะ อยากเป็นคนมีระเบียบมากกว่านี้จัง
ค. สำคัญเหมือนกัน ตัวเองก็เรียกได้ว่าค่อนข้างสะอาด แต่ก็ไม่ได้เอาเป็นเอาตายถ้ามันจะรกรุงรังไปบ้าง
ง. ไม่สำคัญเลย อยู่บ้านรกๆ ที่คนในบ้านสบายใจยังดีกว่าอยู่บ้านสะอาดเรียบร้อยที่ทุกคนหัวเสีย และคอยจ้องจับผิดกัน
6. คนแบบไหนที่คุณไม่อยากคบเป็นเพื่อนเลย คนที่…
ก. หยิ่งและไม่จริงใจ
ข. นักเลง ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้
ค. หยาบคาย ไม่มีกาลเทศะ ไม่มีมารยาท
7. หกเดือนที่ผ่านมา คุณป่วยถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อกี่ครั้ง
ก. ไม่เลยสักครั้ง
ข. ครั้งเดียว
ค. มากกว่าหนึ่งครั้ง
8. คนที่คุณรักมีเรื่องเศร้าโศกเสียใจ เช่น คนใกล้ชิดเสียชีวิต คุณมีปฏิกิริยาอย่างไร
ก. พยายามปลอบโยนให้เขาร่าเริงขึ้น
ข. ก็เสียใจพอๆ กับเขานั่นแหละ เมื่อเขาทุกข์ก็พลอยทุกข์ไปกับเขาด้วย
ค. แสดงให้เขารู้ว่าเสียใจกับเขาแต่ก็ยังคงปฏิบัติต่อเขาตามปกติเหมือนเดิม
9. คุณเป็นคนตรงเวลาแค่ไหน
ก. ตรงเวลาที่สุด เรียกได้ว่าเป็นคนมีนิสัยตรงต่อเวลา
ข. ไม่ตรงเวลา ถึงจะเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ แต่ก็ไม่เคยไปไหนทันเวลาเลย
ค. ก็แล้วแต่ บางเรื่องก็ตรงเวลา บางเรื่องก็ช้าไปหน่อย
ง. ตรงเวลาพอดี มักไปถึงตอนที่สมควรจะอยู่ที่นั่นแล้ว
10. คุณโกรธคนที่ทำอะไรไม่ยุติธรรมกับคุณนานแค่ไหน
ก. นานทีเดียว รับรองว่าไม่ให้อภัยการกระทำเลวๆ ง่ายๆ หรอก
ข. ไม่โกรธ ความโกรธเกิดจากจิตใจที่มีปัญหา
ค. ไม่นาน โกรธก็จริงแต่ก็มักพยายามระงับใจ
ง. ไม่มัวโกรธ แต่มักจะไม่สมาคมกับคนคนนั้นอีกต่อไป
11. ถ้าได้รับมรดกเป็นเงินหลายสิบล้านคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ก. ก็ดีใจน่ะสิ
ข. กลัวมีปัญหาตามมา แต่ก็ยอมรับเงินก้อนนั้นไว้ก่อน
ค. กังวลมากเลยที่จะจัดการกับเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น มันหมายถึงเริ่มชีวิตใหม่ทั้งหมดเลยนะ
12. อะไรที่คุณเห็นว่าเป็นสิ่งดึงดูดใจที่สุดในตัวคู่ครอง
ก. หน้าตาดี
ข. ร่ำรวย
ค. ฉลาด
ง. ไปกันได้ดี
จ. เป็นนักรักชั้นเยี่ยม
ฉ. มีความเข้าอกเข้าใจ
13. ชีวิตสังคมของคุณเป็นแบบไหน
ก. คบหากับเพื่อนสนิทแวดวงแคบๆ
ข. สังคมจัด รู้จักคนเป็นร้อยๆ
ค. มีเพื่อนเยอะ แต่ไม่ค่อยติดต่อกัน มักจะสมาคมกับใครก็ตามที่มาเยี่ยมเยียนมากกว่า
14. คุณเห็นด้วยกับข้อไหน
ก. เวลาติดปีกผ่านไปอย่างลางเลือน
ข. เวลาผ่านไปช้าๆ
ค. วันคืนยาวนาน แต่ละสัปดาห์และเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ง. วันคืนผ่านไปเร็ว แต่สัปดาห์และเดือนเลื่อนไปช้าๆ
15. คุณรู้สึกอย่างไรกับสภาพปัจจุบัน ไม่ว่าเป็นคุณสมบัติส่วนตัว มิตรสหาย ครอบครัว อาชีพ และลู่ทางสำหรับอนาคตของคุณ
ก. ยอดเยี่ยม
ข. ดีพอใช้สภาพที่เป็นอยู่อาจไม่ดีเลิศแต่ก็พอใจและดีขึ้นเรื่อยๆ
ค. ก็ดี แต่กำลังดิ้นรนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ง. แล้วแต่ บางทีก็รู้สึกดีกับตัวเอง บางทีก็ไม่

ให้คะแนนในข้อที่ตอบถูกข้อละ 1 คะแนน 1. ข 2. ข 3. ก 4. ค 5. ค 6. ข 7. ก หรือ ข 8. ค 9. ง 10. ค 11. ก 12. ง 13. ค 14. ง 15. ข
ถ้าคุณได้ 2 คะแนนหรือต่ำกว่า คุณไม่ค่อยมีความสุขในชีวิต
ถ้าคุณได้ 4-6 คะแนน คุณมีช่วงเวลาที่มีความสุขหลายช่วง
7 คะแนนขึ้นไป แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีความสุขอย่างน้อยก็ตามเกณฑ์นี้ โรเบิร์ต ฮาร์ริงตัน ได้อธิบายการให้คะแนน (ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บนั้น หมายถึงข้อคำถามที่เกี่ยวข้อง) ว่า คนที่มีความสุขจะชอบทำสิ่งที่มีประโยชน์และเกิดผล ชอบใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ (1) และพอใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ไม่ถึงกับเสียสละตนเอง (2) ผู้วิจัยเรื่องการนอนหลับพบว่าคนที่มีความสุขจะหลับง่ายเวลากลางคืน (3) มักเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้ดีและสามารถอยู่ตามลำพังหรืออยู่กับผู้อื่นได้อย่างสบายโดยไม่ติดทั้งสองอย่าง (4,13) โดยทั่วไปคนที่มีความสุขจะมีระเบียบและตรงต่อเวลา (5,9) คนที่มีความสุขนั้น แม้จะทนความบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่นได้ แต่ก็เกลียดความโหดร้ายและการชอบทำลาย (6) มีสุขภาพดี (7) ไม่กลัวความร่ำรวย (11) และไม่ยอมเข้าไปมีส่วนร่วมในอารมณ์ด้านลบของผู้อื่น (8) หรือเก็บอารมณ์ด้านลบของตนไว้นานๆ (10) ในการเลือกคู่ครอง คนที่มีความสุขจะเลือกคนที่มีอัธยาศัยตรงกัน และเข้ากันได้ดีมากกว่าคนที่แสดงความรักหวานซึ้งและรวยเสน่ห์ (12) คนที่มีความสุขจะทำภารกิจอย่างใจจดใจจ่ออยู่เสมอ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเวลาช่วงยาวๆ เป็นสัปดาห์ เดือน หรือปีอาจจะเหมือนว่าผ่านไปช้า (14) ประการสุดท้ายคนมีความสุขจะรู้สึกว่าตนเองก้าวหน้า ดีขึ้น และประสบความสำเร็จอยู่เสมอ (15)

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้
การที่จะสร้างและทำให้พลังแห่งความเชื่อแข็งแกร่ง มีหลัก 3 ประการ
1. คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าล้มเหลว
2. เตือนตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่าคุณเก่งกว่าที่คุณคิด
3. คิดใหญ่

รักษาโรคชอบแก้ตัว : โรคแห่งความล้มเหลว
ข้ออ้างยอดนิยม 4 ประการ
1. เรื่องสุขภาพ
- ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องสุขภาพ
- ปฏิเสธที่จะปริวิตกหรือเป็นทุกข์หนักใจเกี่ยวกับสุขภาพ
- จงรู้สึกยินดีอย่างจริงใจที่สุขภาพของคุณดีเท่าๆ กับของคนอื่น
- เตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าชีวิตเป็นของคุณที่จะสนุกสนาน อย่าไร้สาระ
2. เรื่องความฉลาด
- อย่าประเมินมันสมองของคุณต่ำเกินไป และอย่าประเมินมันสมองของคนอื่นสูงเกินไปค้นให้พบความสามารถพิเศษที่คุณมีอยู่ สิ่งสำคัญคือวิธีที่คุณใช้สมองของคุณจัดการกับสมอง
- เตือนตัวเองวันละหลายๆ ครั้งว่า ทัศนคติสำคัญกว่าสมอง
- จำไว้ว่าความสามารถที่จะคิดมีค่ามากกว่าความสามารถในการจำ
3. เรื่องอายุ
- มองอายุปัจจุบันของคุณในแง่บวก คิดในสิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างความกระตือรือร้นและความรู้สึกของความเป็นหนุ่ม
- คำนวณเวลาที่คุณยังสามารถทำงานได้อย่างขยันขันแข็งใช้เวลาในอนาคตทำในสิ่งที่คุณต้องการทำจริงๆ

4. เรื่องโชค
- ยอมรับกฎของเหตุและผล
- อย่าเป็นคนเพ้อฝัน

สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทำลายความหวาดกลัว
1. การปฏิบัติเพื่อรักษาความกลัว แยกแยะความกลัวความกลัวออกมาแล้วทำในสิ่งที่เหมาะสม การไม่ทำอะไรกับสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นเท่ากับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับความกลัวและทำลายความมั่นใจ
2. พยายามอย่างเต็มกำลังที่จะใส่เฉพาะความคิดที่เป็นบวกลงในความทรงจำ อย่าให้ความคิดที่เป็นลบและติเตียนตนเองเติบโตจนกลายเป็นอสูรทางจิต ปฏิเสธที่จะฟื้นความหลังที่ขมขื่นทุกประการ
3. จัดให้ทุกคนอยู่ในสถานภาพที่เหมาะสม จำไว้ว่าคนเรามีความเหมือนกันมากกว่าที่จะแตกต่างกัน มองทุกคนด้วยความรู้สึกที่เท่าเทียมกัน และสร้างทัศนคติที่เข้าใจผู้อื่น คนจำนวนมากจะเห่าแต่มีน้อยคนที่กัด
4. ฝึกทำในสิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณบอกว่าถูกต้อง สิ่งนี้จะป้องกันความรู้สึกผิดในจิตใจไม่ให้เกิดขึ้น ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
5. ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบอกว่า มั่นใจ มั่นใจจริงๆ
ต่อไปนี้เป็นเทคนิคที่คุณควรฝึกในกิจวัตรประจำวัน
- เป็นคนนั่งแถวหน้า
- สบตา
- เดินเร็วขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์
- พูด
- ยิ้มเปิดเผย

วิธีการคิดใหญ่
1. อย่ามีปมด้อย เอาชนะความรู้สึกที่ดูถูกตัวเอง มุ่งเน้นในคุณสมบัติของตนเอง คุณดีกว่าที่คุณคิด
2. ใช้คำของคนที่คิดใหญ่ ใช้คำที่ใหญ่ สดใส และรื่นเริง ใช้คำพูดที่ให้สัญญาว่าจะชนะ ให้ความหวัง ความสุข ความรื่นเริง หลีกเลี่ยงคำที่สร้างภาพพจน์ที่ไม่รื่นเริงของความล้มเหลว การพ่ายแพ้ และความโศกเศร้า
3. มองอนาคตให้ไกลขึ้น ดูว่าอะไรจะเป็นไปได้ ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เป็นอยู่ ฝึกเพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งต่างๆ คนอื่น และตัวคุณเอง
4. มองงานของคุณให้ใหญ่ขึ้น คิดอย่างจริงจังถึงความสำคัญของงานที่คุณทำอยู่ในปัจจุบัน การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งคราวหน้าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่คุณมองงานในปัจจุบันของคุณ
5. อย่าคิดเรื่องจุกจิก เอาใจใส่ต่อวัตถุประสงค์หลัก ก่อนที่จะเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องจุกจิกทั้งหลาย ถามตังคุณเองว่า “มันสำคัญอะไรนักหรือ”

วิธีการคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์
1. เชื่อว่าเราทำได้ เมื่อคุณเชื่อว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นไปได้ จิตใจของคุณจะหาหนทางที่จะทำขึ้น เพราะเชื่อว่ามีทางเปิดไปสู่คำตอบ
ลบคำว่า “เป็นไปไม่ได้” “ใช้ไม่ได้ผล” “ทำไม่ได้” “ไม่มีประโยชน์ที่จะลอง” ออกจากความคิดและคำพูดของคุณ
2. อย่าให้ความคิดดั้งดิมทำให้จิตใจคุณเป็นอัมพาต ยอมรับความคิดใหม่ๆ ทดลองและลองแนวทางใหม่ เป็นคนหัวก้าวหน้าในทุกสิ่งที่คุณทำ
3. ถามตัวเองทุกวันว่า “เราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร?” ไม่มีข้อจำกัดในการปรับปรุงตัวเองเมื่อคุณถามตัวเอง คำตอบจะปรากฏขึ้น
4. ถามตัวเองว่า “เราจะทำให้มากขึ้นได้อย่างไร?” ความสามารถในการทำงานเป็นสภาวะของจิตใจ การถามตัวเองด้วยคำถามนี้จะส่งสัญญาณให้จิตใจคุณทำงาน หาวิธีตัดทอนงานที่ไม่จำเป็นต่างๆ ออก องค์ประกอบร่วมของความสำเร็จในธุรกิจก็คือทำสิ่งที่คุณทำให้ดีขึ้น (ปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์) และทำในสิ่งที่คุณทำให้มากขึ้น (เพิ่มปริมาณของผลผลิต)
5. ฝึกถามและฟัง คุณจะได้วัตถุดิบที่จะใช้ในการตักสินใจที่ถูกต้อง จำไว้ว่าคนใหญ่ผูกขาดการฟัง คนเล็กผูกขาดการพูด
6. เปิดใจของคุณ ให้จิตใจของคุณได้รับการกระตุ้น สังสรรค์กับคนที่จะช่วยให้คุณคิดถึงความคิดใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ในการทำสิ่งต่างๆ คลุกคลีกับคนที่อยู่ในอาชีพอื่น

คุณเป็นไปตามที่คิดว่าคุณเป็น
1. ดูสำคัญ มันช่วยให้คุณคิดสำคัญ การปรากฏกายของคุณพูดกับคุณ ให้แน่ใจว่ามันช่วยยกระดับขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่นในตนเองของคุณ การปรากฏกายของคุณพูดกับคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นให้แน่ใจว่ามันพูดว่า “นี่คือคนสำคัญ ฉลาด มั่งคั่ง และไว้ใจได้”
2. คิดว่างานของคุณสำคัญ คิดแบบนี้แล้วคุณจะได้รับสัญญาณจากจิตใจถึงวิธีที่จะทำงานของคุณให้ดีขึ้น คิดว่างานของคุณสำคัญแล้วลูกน้องของคุณจะคิดว่างานของเขามีความสำคัญเช่นกัน
3. พูดอย่างห้าวหาญกับตัวเองวันละหลายๆ ครั้ง สร้างโฆษณา “ขายตัวเองให้กับตัวคุณเอง” พูดย้ำกับตัวเองในทุกโอกาสว่า “คุณเป็นคนชั้นหนึ่ง”
4. ในทุกสถานการณ์ของชีวิต ถามตัวเองว่า “นี่เป็นวิธีการที่คนสำคัญคิดใช่หรือไม่?” แล้วเชื่อฟังคำตอบนั้น

จัดการกับสภาพแวดล้อมของคุณ : เอาชั้นหนึ่ง
1. เป็นคนระวังในเรื่องสภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับที่อาหารสร้างร่างกาย อาหารใจสร้างจิตใจ
2. ใช้สภาพแวดล้อมของคุณทำงานให้คุณ ไม่ใช่ต่อต้านคุณ อย่าให้พลังต้านที่มาจากคนที่มีความคิดลบ คนที่มีแต่คิดว่าทำไม่ได้มาทำให้คุณไขว้เขว และคิดอย่างพ่ายแพ้
3. อย่าให้คนคิดเล็กดึงคุณไว้ คนขี้อิจฉาต้องการเห็นคุณล้ม อย่าให้เขาสมหวัง
4. ขอคำแนะนำจากผู้ที่ประสบผลสำเร็จ อนาคตของคุณเป็นสิ่งสำคัญ อย่าเสี่ยงกับที่ปรึกษาอิสระที่มีชีวิตที่ล้มเหลว
5. รับแสงแดดของจิตใจให้มาก สังคมกับคนกลุ่มใหม่ๆ ค้นหาและทำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น
6. โยนยาพิษของความคิดออกจากสภาพแวดล้อมของคุณ หลีกเลี่ยงการนินทา คุยเกี่ยวกับเรื่องงาน แต่พูดเฉพาะในด้านที่เป็นบวก
7. เอาชั้นหนึ่งในทุกสิ่งที่คุณทำ คุณไม่มีปัญญาเอาชั้นอื่น แพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพของมัน

ทำให้ทัศนคติของคุณเป็นพวกเดียวกับคุณ
1. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า “ฉันกระตือรือร้น” ผลตอบแทนมาเป็นสัดส่วนกับความกระตือรือร้นที่ลงทุนลงไป มี 3 สิ่งที่จะช่วยทำให้คุณกระตือรือร้น ดังนี้
- ศึกษาให้ลึกซึ้ง เมื่อคุณพบว่าคุณไม่ได้สนใจในบางสิ่งบางอย่าง ค้นคว้าและเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับมัน สิ่งนี้จะสร้างความกระตือรือร้นขึ้นมาได้
- เพิ่มชีวิตชีวาในทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ การยิ้มของคุณ การจับมือ การพูด แม้แต่การเดิน ทำให้มีชีวิตชีวา
- การประกาศข่าวดี ไม่มีใครเคยประสบความสำเร็จในทางที่เป็นบวกโดยการประกาศข่าวร้าย
2. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า คุณเป็นคนสำคัญ และทุกคนจะทำให้คุณมากกว่าเมื่อคุณทำให้เขารู้สึกสำคัญ อย่าลืมทำสิ่งต่อไปนี้
- ในทุกโอกาสแสดงความสำนึกในบุญคุณเท่าที่ทำได้ และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ
- เรียกคนอื่นโดยเรียกชื่อเขา
3. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า บริการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด และดูเงินที่จะตามมาเอง ตั้งเป็นกฏว่าคุณจะทำให้คนอื่นมากกว่าที่เขาคาดว่าจะได้รับ

คิดให้ถูกต้องต่อคนอื่น
1. ทำให้ตัวเองเบาลงในการที่จะยก ฝึกเป็นคนที่น่านิยมชมชอบ ฝึกเป็นคนประเภทที่คนทั่วไปชอบ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เขาสนับสนุนคุณและเติมเชื้อเพลิงให้กับโปรแกรมสร้างความสำเร็จของคุณ
2. เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างความเป็นเพื่อน แนะนำตนเองกับคนอื่นในทุกโอกาสที่ทำได้ ให้แน่ใจว่าคุณได้ชื่อเรียกที่ถูกต้องของคนอื่น และให้แน่ใจเท่าๆ กันว่าเขาได้ชื่อคุณเช่นเดียวกัน ส่งจดหมายส่วนตัวถึงเพื่อนใหม่ของคุณถ้าคุณอยากรู้จักเขาให้มากขึ้น
3. ยอมรับความแตกต่างและข้อจำกัดในมนุษย์ อย่าคาดหวังความสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์จากผู้ใด อย่าลืมว่าคนอื่นมีสิทธิที่จะแตกต่าง และอย่าเป็นคนชอบแย้ง
4. เป็นช่องบวก สถานีจิตใจที่ดี ค้นหาคุณสมบัติที่จะชื่นชอบและยกย่องคนอื่น ไม่ใช่ค้นหาแต่สิ่งที่จะทำให้เกลียด และอย่าให้คนอื่นทำให้ความคิดของคุณลำเอียงเกี่ยวกับบุคคลที่สาม คิดสิ่งที่เป็นบวกต่อคนอื่น แล้วคุณจะได้ผลที่เป็นบวก
5. ฝึกเป็นคนเอื้ออารีในการสนทนา เป็นเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จ สนับสนุนให้เขาพูด ให้คนอื่นพูดเกี่ยวกับตัวเขา ความเห็นของเขา และความสำเร็จของเขา
6. ฝึกเป็นคนเอื้อเฟื้อตลอดเวลา มันทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น และมันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นด้วย
7. อย่าโทษคนอื่นเมื่อคุณพ่ายแพ้ จำไว้ว่าวิธีการที่คุณคิดเมื่อคุณประสบความพ่ายแพ้จะเป็นตัวที่กำหนดว่าอีกนานเท่าไหร่คุณถึงจะชนะ

สร้างนิสัยในการลงมือทำ
1. เป็นคนกระตือรือร้น เป็นคนทำงาน เป็นนักทำ อย่าเอามือซุกหีบ
2. อย่ารอจนกระทั่งเงื่อนไขต่างๆ สมบูรณ์แบบ มันไม่มีวันเกิดขึ้น เผชิญหน้ากับความยุ่งยากและอุปสรรคในอนาคต และแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้น
3. จำไว้ว่า ลำพังความคิดเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้เกิดความสำเร็จ แต่ความคิดจะมีค่าก็ต่อเมื่อได้รับการปฏิบัติ
4. ใช้การลงมือปฏิบัติช่วยขจัดความกลัวและสร้างความมั่นใจ ทำในสิ่งที่กลัวแล้วความกลัวจะหายไป ลองทำแล้วคอยดู
5. ติดเครื่องความคิดของคุณด้วยมือ อย่ารอให้จิตใจผลักดันคุณให้ทำ แต่ลงมือทำไปก่อนแล้วคุณจะผลักดันจิตใจให้คิด
6. คิดในเกณฑ์ของคำว่าเดี๋ยวนี้ คำว่าพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า วันหลัง หรือคำอื่นๆ ที่คล้ายกันนั้นมักเป็นคำที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับคำแห่งความล้มเหลว นั่นคือไม่มีวัน จงเป็นคนประเภท “ฉันจะเริ่มเดี๋ยวนี้”
7. นั่งลงและทำงาน อย่าเสียเวลาเตรียมตัวที่จะทำ เอาเวลานั้นมาทำงานดีกว่า
8. เป็นผู้ริเริ่ม เป็นนักรณรงค์ หยิบลูกบอลแล้วออกวิ่ง เป็นอาสาสมัคร แสดงให้เห็นว่าคุณมีความสามารถ และมีความทะเยอทะยานที่จะทำ

วิธีเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ
ความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวจะพบได้ในทัศนคติของคนคนหนึ่งต่อความพ่ายแพ้อุปสรรค ความท้อแท้ และความผิดหวังอื่นๆ มีป้ายบอกทาง 5 ป้ายที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ นั่นคือ
1. ศึกษาความพ่ายแพ้เพื่อที่จะปูทางไปสู่ความสำเร็จ เมื่อคุณแพ้ควรเรียนรู้และเอาชนะในครั้งต่อไป
2. มีความกล้าหาญที่จะวิจารณ์ตัวเอง ค้นให้พบความผิดพลาดและจุดอ่อนของตัวเองแล้วทำการแก้ไข สิ่งนี้จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
3. หยุดโทษโชคชะตา ตรวจสอบการพ่ายแพ้แต่ละครั้ง ค้นหาว่าอะไรผิดพลาด จำไว้ว่าการโทษโชคชะตาไม่ทำให้ใครสามารถไปในที่ที่เขาต้องการจะไปได้
4. ผสมผสานความมุมานะกับการทดลอง ยึดติดกับเป้าหมาย แต่อย่าเอาหัวชนฝา ทดลองวิธีการใหม่ๆ
5. จำไว้ว่ามีด้านที่ดีอยู่ในทุกสถานการณ์ ค้นหาดู มองด้านที่ดีและหันหลังให้กับความท้อแท้หมดหวัง

ใช้เป้าหมายช่วยให้คุณโต
นำหลักการสร้างความสำเร็จมาใช้
1. กำหนดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการไปทางไหน สร้างภาพพจน์ของตัวคุณเอง 10 ปีนับจากวันนี้
2. เขียนแผน 10 ปีของคุณ ชีวิตของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปตามดวง เขียนลงในกระดาษในสิ่งที่คุณต้องการทำให้สำเร็จในงานของคุณ ครอบครัว และชีวิตในสังคม
3. ยอมจำนนต่อความปรารถนาของคุณ ตั้งเป้าหมายเพื่อให้ได้รับพลังงาน ตั้งเป้าหมายเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ ได้รับการปฏิบัติจนสำเร็จ ตั้งเป้าหมายพบความสนุกสนาน และเพลิดเพลินในการใช้ชีวิต
4. ปล่อยให้เป้าหมายหลักของคุณเป็นตัวชี้นำชีวิตโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณปล่อยให้เป้าหมายครอบจิตใจของคุณ คุณจะพบว่าคุณตัดสินใจอย่างถูกต้องที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นเสมอ
5. ทำงานสู่เป้าหมายทีละขั้น ถือว่าแต่ละก้าวที่คุณทำเป็นอีกก้าวหนึ่งสู่เป้าหมาย ไม่ว่าก้าวนั้นจะดูเหมือนก้าวเล็กแค่ไหนก็ตาม
6. สร้างเป้าหมาย 30 วัน ความพยายามแต่ละวันในที่สุดจะให้ผลที่ต้องการตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
7. เดินอ้อมในการย่างก้าวของคุณ ทางอ้อมมีความหมายเป็นเพียงอีกทางหนึ่ง มันไม่ควรจะหมายถึงการยอมจำนนในเป้าหมายของคุณ
8. ลงทุนในตนเอง ซื้อสิ่งที่สร้างพลังทางจิตใจและประสิทธิภาพ ลงทุนในการศึกษา ลงทุนในสิ่งที่สร้างความคิด

วิธีที่จะคิดเหมือนกับเป็นผู้นำ
การที่จะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผลมากขึ้น ใช้กฎการเป็นผู้นำ 4 ข้อต่อไปนี้
1. แลกเปลี่ยนจิตใจกับคนที่คุณต้องการมีอำนาจชักจูงจิตใจ มันเป็นการง่ายที่จะทำให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณต้องการให้เขาทำ ถ้าคุณจะมองสิ่งต่างๆ จากสายตาของเขา ถามตัวเองด้วยคำถามนี้ก่อนที่คุณจะลงมือทำ “ผมจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าผมเป็นเขา และเขาเป็นผม?”
2. ประยุกต์ใช้กฎ “ความเป็นมนุษย์” ในการติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่น ถามว่า “อะไรคือวิธีที่มีความเป็นมนุษย์ในการจัดการกับปัญหานี้?” ในทุกๆ สิ่งที่คุณทำ แสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับแรก ปฏิบัติต่อคนในแบบที่คุณอยากได้รับการปฏิบัติ คุณจะได้รับผลตอบแทนไม่ช้าก็เร็ว
3. คิดอย่างก้าวหน้า เชื่อในความก้าวหน้าและผลักดันเพื่อความก้าวหน้า คิดปรับปรุงในทุกสิ่งที่คุณทำ คิดมาตรฐานสูงในทุกสิ่งที่คุณทำ ในระยะเวลาหนึ่งลูกน้องมีแนวโน้มที่จะเป็นรูปสำเนาของหัวหน้าของเขา ให้แน่ใจว่ารูปต้นแบบมีค่าควรแก่การสำเนา ตั้งเป็นนโยบายส่วนตัวในสิ่งต่อไปนี้ “ที่บ้าน ที่ทำงาน ในสังคม ถ้าเป็นเรื่องของความก้าวหน้า ผมเห็นด้วย”
4. หาเวลานอกพูดคุยกับตัวเอง และดึงพลังความคิดชั้นสุดยอดของคุณออกมาใช้ การตั้งใจอยู่อย่างโดดเดี่ยวให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ใช้มันในการปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ของคุณออกมา ใช้มันในการค้นหาคำตอบให้แก่ปัญหาส่วนตัวและธุรกิจ ดังนั้นใช้เวลาบางส่วนสำหรับอยู่ตัวคนเดียวทุกวันเพียงเพื่อที่จะคิด ใช้เทคนิคการคิดที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายใช้ นั่นคือพูดคุยกับตัวเอง

วิธีใช้ความมหัศจรรย์ของการคิดใหญ่ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สุดของชีวิต
1. เมื่อคนเล็กพยายามกดคุณลงมา จงคิดใหญ่ แน่นอนมีคนบางคนต้องการที่จะทำให้คุณแพ้ ต้องการให้คุณประสบกับเคราะห์ร้าย ต้องการให้คุณถูกตำหนิ แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำร้ายคุณได้ถ้าคุณจำ 3 สิ่งต่อไปนี้
- คุณชนะถ้าคุณปฏิเสธที่จะสู้กับคนคิดเล็กคิดน้อย การต่อสู้กับคนเล็กจะลดขนาดของคุณให้เท่ากับเขา เพราะฉะนั้นยืนอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ไว้
- คาดไว้ได้เลยว่าคุณจะต้องถูกแทงข้างหลัง นั่นเป็นการพิสูจน์ว่าคุณกำลังโต
- เตือนตัวเองว่าคนลอบกัดมีความเจ็บป่วยทางจิตใจ จงเป็นคนใหญ่และให้ความสงสารแก่พวกเขา
- คิดให้ใหญ่พอที่จะปลอดภัยจากการโจมตีจากพวกคิดเล็กคิดน้อย
2. เมื่อเกิดความรู้สึกที่ว่า “ผมไม่มีในสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จ” คืบคลานเข้ามาหาคุณ จงคิดใหญ่ จำไว้ว่าถ้าคุณคิดว่าคุณอ่อนแอ คุณก็จะอ่อนแอ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีความสามารถเพียงพอ คุณก็ไม่มี โจมตีแนวโน้มทางธรรมชาติของคนที่จะรู้สึกตนเองว่าต่ำต้อยด้วยเครื่องมือต่อไปนี้
- ทำให้ดูสำคัญ มันช่วยให้คุณคิดในสิ่งที่สำคัญ รูปร่างหน้าตาและการปรากฏกายภายนอกของคุณมีส่วนเกี่ยวพันกับความรู้สึกภายในของคุณเป็นอย่างมาก
- มุ่งเน้นในคุณสมบัติของคุณ สร้างวิธีการขายตัวเองให้กับตัวเองแล้วใช้มัน เรียนรู้ที่จะชาร์จพลังในตัวคุณเอง รู้จักด้านบวกของตัวเอง
- วางคนอื่นให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม คนอื่นก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะกลัวเขาทำไม
- คิดให้ใหญ่เพียงพอ เพื่อที่จะเห็นว่าคุณดีแค่ไหนจริงๆ
3. เมื่อการทะเลาะเบาะแว้งดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงคิดใหญ่ พยาบาท อาฆาต จะไม่ช่วยให้คุณไปถึงที่ที่คุณต้องการจะไป
- ถามตัวเองว่า “จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่สำคัญแค่ไหนที่จะต้องถกเถียงกัน?”
- เตือนตัวเองว่า คุณไม่ได้อะไรเลยจากการทุ่มเถียง แต่คุณจะเสียอะไรบางสิ่งบางอย่างเสมอ
- คิดให้ใหญ่เพียงพอที่จะเห็นว่าการทะเลาะ การทุ่มเถียง และความพยาบาทอาฆาตจะไม่ช่วยคุณไปถึงที่ที่คุณต้องการจะไป
4. เมื่อคุณรู้สึกพ่ายแพ้ จงคิดใหญ่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงโดยปราศจากความลำบากและความผิดพลาด แต่มันเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการถูกทำให้พ่ายแพ้ นักคิดใหญ่มีปฏิกิริยาต่อความผิดพลาดโดยวิธีนี้
- ถือว่าความผิดพลาดเป็นบทเรียน เรียนรู้จากมัน วิเคราะห์ดูความผิดพลาด และใช้มันในการส่งคุณให้ก้าวไปข้างหน้า กอบกู้สิ่งที่เหลืออยู่จากความผิดพลาดทุกครั้ง
- ผสมผสานความมุ่งมั่นกับการทดลอง ถอยหลังและเริ่มทำใหม่ด้วยวิธีการใหม่ๆ
- คิดให้ใหญ่พอที่จะเห็นว่าความพ่ายแพ้เป็นสภาวะของจิตใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
5. เมื่ออารมณ์รักเริ่มจะเสื่อมคลาย จงคิดใหญ่ ความคิดที่จุกจิกและเป็นลบประเภท “เขาไม่ยุติธรรมกับฉัน ฉะนั้นฉันก็จะทำแบบเดียวกัน” เป็นความคิดที่ฆ่าอารมณ์แห่งความรัก ทำลายความเสน่หาที่ควรจะเป็นของคุณ ทำสิ่งต่อไปนี้เมื่อเกิดความขัดข้องหมองใจในด้านของความรัก
- มุ่งเน้นในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดกับคนที่คุณต้องการให้รักคุณ เก็บสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไว้ในที่ของมัน
- ทำบางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษสำหรับคู่ของคุณ และทำบ่อยๆ คิดให้ใหญ่พอที่จะพบความสุขของชีวิตแต่งงาน
6. เมื่อคุณรู้สึกว่าความก้าวหน้าในงานกำลังช้าลง จงคิดใหญ่ ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไร และไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร การเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้นมาจากสิ่งเดียวเท่านั้น คือเพิ่มคุณภาพและปริมาณของผลผลิตของคุณ ทำสิ่งต่อไปนี้ คิดว่า “ผมสามารถทำให้ดีขึ้น” สิ่งที่ดีที่สุดไม่มี เพราะฉะนั้นมีช่องทางที่จะทำทุกสิ่งให้ดีขึ้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ถูกทำขึ้นอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ และเมื่อคุณคิดว่า วิธีที่จะทำให้ดีขึ้นก็จะปรากฏ จะปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ของคุณออกมา คิดให้ใหญ่พอที่จะเห็นว่าถ้าคุณถือบริการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เงินก็จะตามมาเอง

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความสุขแบบเรียบง่าย

1. นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับตัว 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่
3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากจัง
5. ระหว่างแปรงฟังถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่า
6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก้อจะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด
8. การขึ้นบันไดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไหร่
9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆทันทีที่เธอถามเค้าว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมค่ะ"
10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"
12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาทีรับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟัง
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงไปเรื่อย ๆ
16.ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งจะดูแทบไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้
17.ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18.ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันทำให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
19.ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆก้อจะดูเหมือนมีเยอะขึ้น
20.ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คนถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด
22.ในวันที่รู้สึกเศร้าๆเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกแล้วจะดีขึ้น
23.แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นยังไง
24.ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่นา
25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26.ถ้าเธอเช็ดกระจกบานที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมเธอจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม อาจไม่สนุกแต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่
28.วันที่ตื่นเช้าๆให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายนะ
29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่านมาก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน คุณจะเก็บเงินเพิ่มขึ้นได้อีกหลายบาท

...คนที่มีความสุข ไม่ได้หมายความว่า เค้ามีแต่สิ่งดีๆในชีวิตเต็มไปหมด
แต่มันอยู่ที่ว่า...เค้าทำความเข้าใจ...ยอมรับ...และพยายามทำสิ่งที่มี
อยู่ในชีวิตให้ดีที่สุดตะหากหละ...

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความรักมีอยู่ 6 ชนิดEros

เมื่อพูดถึงความรัก ทุกคนมักรู้สึกว่ารู้จักดีหรือเคยมีประสบการณ์มาบ้าง แต่ถ้าให้นิยามว่าความรักคืออะไร ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หลายคนอธิบายความหมายของความรักในรูปแบบต่าง ๆ กัน ซึ่งแต่ละความหมายอาจใช้อธิบายความรักได้ไม่เสมอไปทุกกรณี
ความรักเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจแฝงไว้ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง จนยากแก่การอธิบาย ในพจนานุกรมศัพท์จิตเวชเองก็ไม่ได้ให้คำนิยามไว้ แต่อธิบายว่าคำที่มีความหมายใกล้เคียงที่สุดที่น่าจะเป็น "ความชื่นชมยินดี (Pleasure)" เวลาที่เรารู้สึกว่ารักใครเรามักมีความชื่นชมยินดีในบุคคลนั้น หรือชื่นชมยินดีที่ได้พบ และอยู่ใกล้ชิดบุคคลนั้น John Lee เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ The colors of love ว่าความรักมีอยู่ 6 ชนิดด้วยกัน
ความรักมีอยู่ 6 ชนิดEros เป็นความรักที่มีความใคร่ และปรารถนาจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เกี่ยวกับบุคคลที่รัก รวมทั้งประสบการณ์กับบุคคลที่รักอย่างสมบูรณ์ Mania เป็นความคลั่งไคล้หลงใหลและเรียกร้องหาบุคคลที่รัก ถ้าผิดหวัง มักวิตกกังวลและปวดร้าว Ludis เป็นความรักที่มีอัตตาสูง มองความรักเป็นเสมือนเกมที่ต้องเอาชนะ Storage เป็นความรักฉันท์เพื่อน พบได้ในหมู่เพื่อนสนิท Agape เป็นความรักที่มีแต่ความอดทนให้อภัยและการให้ Pragma เป็นความรักที่มีเหตุผลซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมีการ ไตร่ตรองแล้ว
การเกิดความรักมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้อง ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งคือความใกล้ชิด (Proximity) คนเราโดยทั่วไปมักมีโอกาสรักคนใกล้ชิดมากกว่าบุคคลที่อยู่ห่างไกล ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า "ไกลตัวก็ไกลใจ" ในวงราชการและสถานที่ทำงานใด ๆ เราจะเห็นความจริงข้อนี้ได้ชัดเจนว่า คนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน แต่อยู่ไกลตัวผู้บังคับบัญชา มักได้รับการพิจารณาความดี ความชอบ น้อยกว่าคนใกล้ชิด ซึ่งบางคนแทบจะไม่ได้ทำงานราชการอะไรเลย นอกจากเป็น ผู้รับใช้ส่วนตัวเท่านั้น
เด็กเล็ก ๆ ยังไม่รู้เดียงสา ไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกที่เป็นนามธรรมได้ แต่ก็ยังสามารถบอกได้ว่ามีความรักต่อแม่และบุคคลใกล้ชิด ซึ่งให้การดูแลอุ้มชู ความรักของเด็กเป็นแบบง่าย ๆ และปนเปกับความรู้สึกต้องการพึ่งพิง (Dependency) ต่อบุคคลที่รักนั้น
เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น ความรักเริ่มมีความสัมพันธ์กับเรื่องเพศ ซึ่งโดยทั่วไป จะมีความสนใจ รักใคร่เพศตรงข้าม มีบางส่วนที่มีการเรียนรู้มาไม่ค่อยถูกต้อง ทำให้ความสนใจมาอยู่ที่ เพศเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า "รักร่วมเพศ (Homosexuality)" คล้ายกับการเล็งเป้าหมายผิด แล้วโดนล็อคไว้อย่างนั้น
ความรักของวัยรุ่นโดยมากยังไม่ใช่ความรักที่จริงจังนัก แต่เป็นไปตามอารมณ์ ที่แปรเปลี่ยนได้ง่าย จึงมักเรียกว่า ความรักแบบลูกสุนัข หรือ Puppy love ปัจจัยหนึ่งที่เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจรักใคร่จากบุคคลอื่น ได้แก่ "รูปสมบัติ" ความสวยงามของรูปร่างหน้าตาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนเริ่มสนใจและมีแนวโน้ม จะเกิดความรักได้ง่าย ทั้งนี้เพราะความสวยเป็นสิ่งที่เจริญหูเจริญตาแก่ผู้พบเห็น ใครได้ควงคู่หรือแต่งงานด้วยก็มักมีความภาคภูมิใจ นอกจากนั้นความสวยความหล่อ ยังถูกนำไปโยงเข้ากับ "ความดี" ซึ่งความจริงแล้วไม่มีความสัมพันธ์กันเลย
คนจำนวนมากมีความโน้มเอียงที่จะเชี่อว่าคนที่สวยหรือหล่อที่พบเห็นนั้นเป็นคนดีเทพนิยายที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กก็มีแต่เรื่องของเจ้าชายรูปงามกับเจ้าหญิงแสนสวย ที่เป็นคนใจดีทั้งนั้น แต่ในชีวิตจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น คนหลายคนจึงถูกหลอกได้ง่ายเพราะหลงใหลในรูปสมบัติคนอื่น
คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจก็คือ "ความคล้ายคลึงกับตนเอง" ในสังคมโดยคนที่มีความคล้ายกันในด้านเชื้อชาติ, ศาสนา, วัฒนธรรม, การศึกษา, เศรษฐกิจ, ค่านิยม, ความสนใจ ก็มักเข้าพวกกันได้ง่ายหรือคบหาสมาคมกันมากกว่า คนที่แตกต่างกัน มาก ๆ จึงพบว่าคนรวยแต่งงานกับคนรวย คนอาชีพเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแต่งงานกัน มากกว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย อีกประการหนึ่งการเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมือนตนเอง ก็เป็นการแสดงว่าพอใจ ในคุณลักษณะที่มีอยู่หรือเห็นว่าตนเองนั้นดีอยู่แล้ว อย่างน้อยคนที่เหมือนกับเรา ก็เข้ากับเราได้ดีกว่าคนอื่น
มีบางคนที่มีความสนใจในคนที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากตนเอง เพราะเชื่อว่าสามารถ เข้าคู่กันได้ คนที่ชอบแบบนี้ อาจมีความต้องการ อยากมี หรืออยากเป็น อย่างคนที่ตนเลือกนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ คนจนที่พยายามแต่งงานกับคนรวย หรือคนขี้เหร่ที่พยายามแสวงหาคู่ ที่สวยงาม
ความรักระหว่างเพศตรงข้ามซึ่งนำไปสู่การแต่งงาน เรียกว่า Passionate love ความรักชนิดนี้มักมีความร้อนแรงในอารมณ์ มีความสุขและความเจ็บปวดแฝงอยู่ เป็นความรักที่มีความคาดหวังจะได้รับการตอบสนองสูง หากสมหวังก็มีความสุข หากผิดหวังก็มีความทุกข์ คนที่กำลังมีความรักแบบนี้มักมีความวิตกกังวลกลัวผิดหวัง และมักตาบอดในการรับรู้คุณสมบัติที่ไม่ดีของคนรัก
นักทฤษฎีส่วนน้อยเชื่อว่า แท้จริงแล้วความรักมักแฝงไว้ด้วยความก้าวร้าว และความต้องการทำลายอยู่เสมอ และหากเชื่อว่าไม่มีความรู้สึกนี้แล้ว จะไม่มีความตื่นเต้นในเรื่องเพศและทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเมินเฉย บางคนจึงกล่าวว่าสิ่งที่ตรงข้ามกับความรักไม่ใช่ความเกลียด แต่เป็นความเฉยเมย
ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้คนเกิดความรักได้มากขึ้น คือ ภาวะตื่นเต้นหรือเสี่ยงอัตราย จากการศึกษาพบว่า คนที่พบกันในภาวะที่ตื่นเต้นหรือเสี่ยงภัย จะเกิดความสนใจ และรักกันได้มากกว่าคนที่พบกันในยามปกติ
การวิจัยพบว่าปัจจัยหลายอย่างที่เป็นตัวกระตุ้นให้มีความรักความใคร่ได้ง่ายขึ้น เช่น ความวิตกกังวล, ความกลัว, ความหึงหวง, ความเหงา, ความโกรธ หรือแม้แต่ ความเศร้าโศก
มีคำกล่าวอยู่ว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรักของแม่ที่มีต่อลูก เพราะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love) ไม่ว่าลูกจะดีจะเลวอย่างไรแม่ก็ยังรักลูกอยู่เสมอ คำกล่าวนี้น่าจะเป็นจริงโดยส่วนใหญ่ แต่ก็พบบางที่แม่บางคนไม่รักลูกก็มี เคยมีความเชื่อว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูก เกิดจากสัญชาตญาณหรือฮอร์โมน แต่ปัจจุบันนี้เลิกเชื่อกันแล้ว
คนเราทุกคนที่มิได้มีจิตใจผิดปกติ สามารถมีความรักได้ทั้งต่อคน, สัตว์และสิ่งของ เริ่มตั้งแต่รักตัวเอง, แม่พ่อ, ญาติสนิทมิตรสหาย, เพื่อนร่วมงาน, เพื่อนร่วมชาติ และเพื่อนร่วมโลก ตลอดไปจนรักสัตว์, รักสิ่งแวดล้อมและรักโลก
ความรักที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต้องเป็นความรักที่มีเหตุผล ไม่ใช่ความหลงใหล (Infatuation) ต้องไม่เป็นไปตามอารมณ์ชั่ววูบแต่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น และได้ผ่านการพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่ามีเหตุผลสมควรรัก
ความผิดหวังและเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นจากความรักที่ไม่เหมาะสมมักเกิดขึ้น เพราะการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล และเกี่ยวข้องกับความไม่มีวุฒิภาวะของคน
การมีความรักเป็นสิ่งที่ดี แต่จะรักใครชอบใครต้องมีเหตุผลด้วยจึงจะเสริมสุขภาพจิต ไปรักคนผิดยิ่งคิดยิ่งกลุ้มนะครับ

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความรักมักมีความชอบเป็นพื้นฐาน

ด้วยเหตุนี้ คุณผู้อ่านสงสัยไหมว่า ทำไมใครๆ ถึงชื่นชอบผู้หญิงกันนัก หรือ A Few Reasons Why Guys Like Girls บอกไว้ดังนี้
1. เพราะผู้หญิงมักกลิ่นหอมเสมอ แม้กลิ่นนั้นจะมาจากแชมพูสระผมเพียงอย่างเดียวก็เถอะ
2. ผู้หญิงน่ารักจะตาย เมื่อยามเธอหลับไหล
3. พวกเธอใช้เวลาไปกับการแต่งตัวนานนับชั่วโมง แต่ก็คุ้มกับการรอคอย
4. พวกเธอมักดูดี ไม่ว่าจะสวมใส่ เสื้อผ้าชุดไหน
5. วิธีที่พวกเธอบรรจงจูบคนรัก แล้วทันใดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็กลายเป็น ความสดใส
6. พวกเธอน่ารักชะมัด แม้ในยามกินซึ่งไม่ต้องการเหลืออะไร ไว้เผื่อใคร
7. ผู้หญิงทำให้สวีทฮาร์ทของพวกเธออบอุ่น ยามตระกองกอดเธอไว้ในวงแขน
8. พวกเธอน่ารัก แม้ยามโมโหโกรธา ทำหน้ายักษ์เข้าใส่
9. วิธีที่เธอบอกว่า ฉันคิดถึงคุณ สามารถทำให้ใครสักคนเป็นคนพิเศษขึ้นมาทันควัน
10. รอยยิ้มของเธอ ละลายหัวใจของผู้พบเห็น จนทำให้หยุดมองไปยังเธอไม่ได้

กระนั้นเพื่อความเท่าเทียม ขอเขียนถึงท็อป เซเว่น หรือ สาเหตุ 7 ประการที่ทำให้ ผู้ชายถูกหลงรักบ้างแล้วกัน ว่ากันว่า สิ่งที่ ทำให้พวกเขาน่ารักขึ้นมาได้ ก็อยู่ตรงที่
1. ให้สัมผัสที่อ่อนโยน ไม่กระโชกโฮกฮาก หรือหยาบกระด้างเข้าใส่
2. กอดและจุมพิตอย่างนุ่มนวลราวกับฝ่ายตรงข้ามเป็นนางฟ้ามาจุติ
3. ชอบทำให้ผู้หญิงเซอร์ไพรส์ ด้วยการกระทำที่พวกเธอไม่คาดคิด เช่น ชวนกันไปทำอะไรบ้าบอคอแตก เพราะผู้ชายไม่ใส่ใจกับสังคม หรือคนรอบข้างเท่าไหร่นัก
4. เมื่อเขาดูเป็นคนซื่อๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและไม่รอบจัด
5. เป็นได้ทั้งเพื่อน, พี่และญาติผู้ใหญ่ในคราวเดียวกัน
6. ใจกว้างกับอดีตรักของฝ่ายตรงข้าม เพราะใครๆ ก็มีสมการ 3 ส่วน อันได้แก่ อดีต-ปัจจุบัน และอนาคตด้วยกันทั้งนั้น ถ้าอดีตจบไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
7. มีสัญชาตญาณของการพิทักษ์และปกป้อง

เมื่อเล่าเรื่องความดีงาม ชวนฝันของผู้ตกอยู่ใน ห้วงรัก ให้อ่านแล้ว อยากเขียนถึง เหวลึก ด้านมืดของปุถุชนกันบ้าง
ปัญหาของคนรักกันมันอยู่ตรงนี้ไงท่าน ตรงที่ ถ้าหากคนที่เรารักไม่ได้ดี... เลิศประเสริฐศรีอย่างที่เราตั้งความหวังหรือคิดไว้ล่ะ คุณจะยังรักหรือทิ้งเขาไปเสียเลย ...ดีนะ
แต่ขอบอกก่อนว่า หากคุณกำลังมองหาคนที่สมบูรณ์แบบอยู่ละก็ ตอบได้เลยว่า ไม่มีคนนั้นอยู่ในโลกนี้หรอก ตื่นได้แล้ว บางครั้งคุณอาจเจอคนแบบ เฮ้อ...ดีไปซะทุกอย่าง...แต่...
· ซกมก สกปรกเป็นที่สุด
อย่างนี้ ถ้าจะไปด้วยกันได้ ทั้งสองฝ่ายต้องปรับตัวเข้าหากัน เช่น สกปรกตามเขาไปด้วย หรือไม่ก็สกปรกให้มากกว่าไปเลย แบบนี้ อาจกระตุ้นให้เขารักสะอาดขึ้นมาก็ได้
· น่าเบื่อเหลือเกิน
ถ้ามองในแง่ดีเข้าไว้ คนน่าเบื่อก็ดีไปอย่างนะ อย่างน้อยคุณก็เชื่อมั่นได้ว่าเขาจะไม่ผีเข้าผีออก บุคลิกไม่หลุกหลิกและไม่ เจ้าชู้ประตูดิน อยากจะไปสีหรือไปหลีใคร ก็ยากที่จะมีใครสน ยกเว้นแต่คนชอบของแปลก
· ขี้เหนียวเป็นกะละแม
รายนี้ควรคู่กับยอดนักช็อป เพราะความสุดขั้วของทั้งคู่จะได้ถ่วงดุลกันไว้ แบบหยินหยางไงล่ะ แล้วจะหาว่าคุย รักกับคนขี้เหนียวก็ดีไปอย่าง เพราะมีแววว่าอนาคตจะรวย
แต่หากในชั่วชีวิตที่รักกัน เขาตระหนี่จนแทบรับไม่ไหว ก็อย่าเพิ่งตีตัวออกห่าง คิดให้ไกลเข้าไว้ก่อน เพราะถ้าวันใดเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ก็ถึงคราที่คุณจะได้ผลาญเงิน เพื่อขจัดความกดดันที่มีอยู่เสียที

ความรักคือ การยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายให้ได้ หากรับไม่ได้ ย่อมไม่เรียกว่าเป็นคู่รัก