จิตวิทยาการเดาใจคนและการรู้จักมองคน
ทำอย่างไรถึงจะเซ็กซี่ได้มากกว่าเดิม
เอ่ยถึงคำว่า เซ็กซี่ เห็นใครต่อใครล้วนปรารถนาสิ่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะถ้าคนไหนยิ่งเซ็กซี่ ยิ่งถือว่ามีเสน่ห์ ดึงดูดเพศตรงข้าม แต่ท่านทราบไหมล่ะว่า ทำอย่างไรถึงจะเซ็กซี่ได้มากกว่าเดิม (อนุโลมให้ว่า เซ็กซี่กันอยู่แล้วละกันน้อ) ใน How to Feel and Look Sexier แนะนำกรรมวิธีเพิ่มปริมาณความเซ็กซี่ ให้ตัวท่านเอง ดังนี้
· ทำตัวให้แตกต่างจากคนอื่น เช่น เพื่อนร่วมงานชอบใส่สีดำกันดีนัก คุณควรคว้าชุดสีอื่นมาใส่ซะก็หมดเรื่อง ลองใส่สีชมพู, สีแสดหรือสีส้ม ทำตัวให้เด่นเป็นสง่า กว่าชาวบ้านเข้าไว้ เดี๋ยวก็จะมีสายตาจ้องมากระแซะคุณเอง
· อุทิศเวลาให้กับการออกไปพบปะสังสรรค์บ่อยๆ และเต้นรำให้ได้ขนาดนักเต้น ทั้งหลายยอมเรียกพี่ สาวสังคมจ๋าอย่างนี้ย่อมเป็นคนร้อนแรง ในความรู้สึกของบุคคลภายนอกเสมอ
· ทำตัวเป็นคนเปิดเผย และใจกล้า ที่จะบอกกับฝ่ายตรงข้ามซึ่งท่านปิ๊งก่อนว่า ฉันอยากให้คุณรู้ว่า ฉันสนใจคุณนะ เพราะฉะนั้นรีบเข้ามาทำความรู้จักกับฉันเร็วเข้าเถอะ จะรออะไรอยู่อีกล่ะ
· หัวเราะบ่อยๆ และอารมณ์ดี สม่ำเสมอ ทำได้แค่นี้ เป็นใครก็อยากอยู่ใกล้ ด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่าโอเว่อแอ๊กหัวเราะแบบคนเสียสติไปซะก่อนล่ะ ขืนเป็นอย่างหลัง รับรองมีแต่คนจะแข่งกันวิ่งหนี ออกห่างจากรัศมีของคนบ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
· หัดชื่นชมผู้อื่นอย่างออกนอกหน้า ขยันชมเชยชาวบ้านชาวช่องว่า ดีอย่างนั้นดีอย่างงี้ แต่ต้องแนบเนียนหน่อยนะ อย่าให้เขาจับได้ไล่ทันว่า ชมฉันเพื่อหวังผลอย่างอื่นนี่หว่า ทั้งที่ใจก็หวังจริงๆ นั่นแหละว่า อุตส่าห์ลงทุน ฉอเลาะก็เพื่อให้คนอื่นหันมาสนใจเดี้ยนนั่นเอง จะเรียกว่า อาศัยคำหวาน ทำให้คนอื่นตายใจก็ใช่ คนเรามักสะดวกใจที่จะคุยกับใครก็ตาม ที่มองเราในแง่ดีเสมอ...จำไว้เหอะ
หนำซ้ำ คำชมก็ไม่ได้ทำให้ใครเสียหายอะไรด้วย มีแต่จะมองผู้ชมว่าเป็นมิตร ส่วนจะเป็นมิตรแท้หรือศัตรูถาวรก็ควรรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กัน
· ทำตัวสบายๆ ไร้มาดของคนเรื่องมาก เช่น เดินทานไอศกรีม, ออกไปเดินเล่นด้วยชุดอยู่กับบ้าน หรือควงแขนสาวรับใช้ไปจ่ายตลาด แม้บางคราวจะดูโทรมไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว คนแบบนี้ก็น่าคบไว้ดูเล่นไม่ใช่หรือ
ผู้สันทัดกรณีท่านว่า ความเซ็กซี่จะเกิดกับคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มากกว่าคนขี้กลัวหรือมีลูกตาขาวมากกว่าสีดำ แล้วคุณเล่า มีสิ่งนี้ หรือเปล่านะ
และจากการสำรวจความเห็นของผู้นิยมใช้ อินเตอร์เน็ตของเว็บ Netscape เมื่อสอบถามว่า ...อะไรเอ่ยที่ทำให้ผู้ชายเซ็กซี่ ? ผู้ตอบซึ่งเป็นใครก็ได้ ไม่จำกัดวัยและเพศ
· ร้อยละ 57 โหวตให้กับความเฉลียวฉลาด
· ร้อยละ 26 เลือกบุคลิกและทัศนคติที่เขามีต่อโลก
· ส่วนร้อยละ 17 ให้ความสำคัญกับหน้าตามาเป็นอันดับแรก ถ้าหล่อก็เทใจให้เลย ยังสงสัยอยู่ว่าคนเลือกข้อนี้ ไม่พึงสังวรบ้างหรือไงนะว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง กระนั้นยอมรับว่า เราจะควงใครก็ควรคำนึงที่รูปร่างหน้าตาเช่นกัน อย่างน้อยมองหน้าแล้วควรกินข้าวลง ไม่ใช่ แค่เห็นก็หมดอารมณ์จะไปกันใหญ่
แล้วทราบไหมว่า อะไรที่ผู้ชายต้องการ (What men want) จากเพศตรงข้าม จะเจียระไนให้ฟังว่า ได้แก่
1. สาวที่มองโลกในแง่ดีและมีความกระตือรือร้นต่อการผูกมิตรกับเขานะ ไม่ใช่กับคนอื่น แต่ถ้าเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นด้วยก็ได้ กระนั้นต้องไม่ใช่ ลักษณะรักใคร่เหมือนที่เขาได้รับ เจอคนใจกว้างแล้วไหมล่ะ...นี่ประชดนะ รู้ตัวไว้ซะ
2. มีความเป็นตัวของตัวเองพอสังเขป ไม่ต้องไปลอกแบบใคร
3. เป็นนักฟังตัวยง ไม่ใช่จ้อแต่เรื่องแฟนเก่า ใครเป็นไงมาไง รู้จักกันแค่ชั่วโมงเดียว แต่ดันรู้กำพืดไปหมดแล้ว ถ้าเป็นซะอย่างนี้แล้วจะเหลืออะไรให้พิสมัยอีกเล่า
แต่หากเหตุการณ์กลับตาลปัตร เพราะเป็นไปได้ว่า หญิงไปเจอผู้ชายประเภท ชอบสอดรู้สอดเห็นมาก แล้วดันถามเรื่องในอดีตของคุณขึ้นมา ก็เล่าได้แต่อย่าไปวิจารณ์ อดีตหวานใจให้มาก และทันใดนั้นก็หัดถามเรื่องเดียวกันนี้กลับไป ทีเอ็งข้าไม่ว่า แต่ทีข้าก็อย่าเงียบ
4. เป็นสาวยุคประหยัด เท่าทันสถานการณ์โลก ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยหรือเป็นสาววัตถุนิยม ตามอย่างเพลงของมาดอนนานั่น
5. ต้องไม่ใช่คนที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยจับผิด เราคบกันเป็นแฟนนะ ไม่ใช่แม่กับลูก หรือลูกศิษย์กับอาจารย์ จะได้สอนสั่งกันละเอียดยิบ
นอกจากนี้ ก็ควรเป็นสาวช่างเอาใจ โดยเฉพาะ เอาใจใส่เขา ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง
ทำอย่างไรจะมีคู่โดยได้คู่ที่ดีด้วย
หญิงไม่อยากมีสามี อันพวงบุปผามาลัย ควรจำธรรมดานาไร่ ฉันใดชาดานารี หาในโลกนี้หาไหน เกลียดแมลงภู่ไซร้ ฤามี จักไม่รับไถใช่ที่ พึงมีสามีแนบตัว
พระนิพนธ์ กรมหมื่นทิพยาลงกรณ์ (นมส.)
พระนิพนธ์เรื่อง กนกนคร ที่ยกมานี้ เป็นคำตรัสของท้าวชัยทัตกับพระมเหสี เมื่อพระมเหสีทูลว่า กนกเรขา พระธิดา "ไม่คิดมีคู่" คตินี้สตรีตะวันตกทุกวันนี้ อาจเห็นว่าเร่อร่าล้าสมัยเสียแล้ว แต่หญิงไทยโดยมากคงเห็นด้วย ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจะมีคู่โดยได้คู่ที่ดีด้วย
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ของแพทย์หญิง รุ่นอาวุโสคนหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นประโยชน์บ้างต่อน้องๆ ที่เป็นแพทย์หญิงและยังโสด แพทย์หญิงรุ่นอาวุโสท่านนี้คือ แพทย์หญิงมยุรี พลางกูร ซึ่งแพทย์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่คงไม่รู้จักเพราะท่านเกษียณอายุราชการ ไปถึงสิบปีแล้ว แต่แพทย์รุ่นอาวุโสและรุ่นกลางๆ ส่วนมากจะรู้จักท่านดีเพราะท่านเป็นอาจารย์แพทย์ ของมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ซึ่งมีบทบาทสูงในเรื่องแพทย์ศาสตร์ศึกษาและเรื่องอื่นๆ เพื่อความสะดวกต่อไปจะขอเรียกท่านง่ายๆ ตามที่เคยเรียกอยู่เป็นประจำว่า "พี่มยุรี" แม้ผู้เขียนจะอายุน้อยกว่าท่านเกือบยี่สิบปี
"พี่ไม่ใช่คนสวย แต่เป็นคนคล่องแคล่ว และเข้ากับคนง่าย" นี่ดูจะเป็นกำลังใจของคนที่ไม่สวยทั้งหลายว่า แม้ไม่สวยก็ไม่เป็นเหตุให้ต้องร้างคู่ และขณะเดียวกัน ก็ดูจะเป็น
เคล็ดข้อแรก ของการที่ทำให้พี่มยุรีได้คู่นั่นคือ ความเป็นคนคล่องแคล่วเข้ากับคนง่ายพี่มยุรีเป็นบุตรสาวคนโตของ พระยาบำรุงราชบริหาร (เสมียร สุนทรเวช) ข้าราชสำนักในพระบาทสมเด็จ พระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เห็นนามสกุลแล้วหลายคนคงถามว่า เป็นอะไรกับคุณสมัคร สุนทรเวช คำตอบคือ คุณสมัครเป็นน้องคนที่เจ็ด คุณพ่อของพี่มยุรีนามสกุลสุนทรเวช แต่ไม่ได้เป็นหมอเหมือนพระยาแพทยพงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) ลุงของพี่มยุรี จึงอยากให้ลูกคนโตเป็นหมอ และก็ประสบความสำเร็จสมใจโดยพี่มยุรียอมเรียนหมอ จนสำเร็จจากศิริราช เมื่ออายุเพียง 21 ปี หลังจากนั้นก็สอบได้ทุน American University Women Association ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ทุนดังกล่าวนี้มีเพียง 2 ทุน แบ่งเป็นสองสาขาคือ วิทยาศาสตร์ และอักษรศาสตร์ สอบเฉพาะภาษาอังกฤษ พี่มยุรีภาษาอังกฤษดีเพราะคุณพ่อให้เรียนพิเศษภาษาอังกฤษ กับครูฝรั่งตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมและตลอดหลักสูตรแพทย์หกปี จึงสอบได้ไปเป็นแพทย์ฝึกหัดที่มหาวิทยาลัยเจฟเฟอร์สัน ในเมืองฟิลาเดลเฟีย แล้วไปเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่บัลติมอร์ ในโรงพยาบาลในเครือของจอนส์ฮอปกินส์เรียนอยู่ 4-5 ปี ก็คิดถึงบ้าน เตรียมกลับเมืองไทย
พี่มยุรีสนิทสนมคุ้นเคยกับ คุณเภา สารสิน ซึ่งไปเรียนหนังสืออยู่ในอเมริกานานและเป็นประธานสมาคม นักเรียนไทยในอเมริกา ตอนที่พี่มยุรีจะเดินทางกลับเมืองไทย ในปี พ.ศ 2497 สามัคคีสมาคมซึ่งเป็นสมาคมของนักเรียนไทยในอังกฤษ กำลังจะมีการประชุมใหญ่ประจำปีในช่วงฤดูร้อน ได้มีหนังสือเชิญสมาคมนักเรียนไทยในอเมริกา ให้ส่งคนไปร่วมประชุมด้วย คุณเภา สารสิน ไม่ว่าง และเห็นพี่มยุรีซึ่งเป็น "คนคล่องแคล่วและเข้ากับคนง่าย" กำลังจะเดินทางกลับเมืองไทยพอดีจึงขอร้องให้เป็นผู้แทน ของนักเรียนไทยในอเมริกาไปประชุมครั้งนั้น พี่มยุรีใฝ่ฝันอยากโดยสารเรือควีนอะลิซาเบทมานานแล้ว ประกอบกับได้เตรียมตัวเก็บเงินซึ่งได้รับทั้งจากทุน American University Women Association และจากเงินเดือนแพทย์ประจำบ้านจึงได้นั่งเรือลำดังกล่าวสมใจนึก ไปขึ้นฝั่งประเทศอังกฤษที่ท่าเรือเซาแธมป์ตัน ท่าเดียวกับ ที่เรือไททานิกจากไปนั่นแหละ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องที่สำคัญก็คือ ผู้ที่เดินทางไปรับพี่มยุรีที่ท่าเรือเซาแธมป์ตันคือ ดร.กำแหง พลางกูร นายกสามัคคีสมาคม ดร.กำแหง เป็นคนเรียนเก่ง จบปริญญาเอก ทางวิชากายวิภาคศาสตร์ จามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ด้วยคะแนนดีเยี่ยม และได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์ (Associate Professor) ของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมปริดจ์ ขณะนั้นพี่มยุรีอายุ 27 ปี ดร.กำแหง แก่กว่า 12 ปี แต่ยังเป็นโสด ดร.กำแหง ได้เขียนเล่าไว้ในภายหลังว่า สิ่งที่ประทับใจในตัวพี่มยุรี ตั้งแต่พบกันครั้งแรกก็คือ เสื้อสีแดงที่พี่มยุรีสวมใส่ในวันนั้น "เสื้อตัวนั้น พี่ดูจากแคตาลอกแล้วสั่งซื้อจากเมกซิโก มีสีแดงด้านหน้าเรียบๆ แต่ด้านหลังเป็นรูปอินเดียนแดงถักผมเปีย ดูเก๋ทีเดียว" พี่มยุรีเล่า
เคล็ดข้อที่สอง นั่นคือต้องรู้จักการแต่งกาย ที่เสริมบุคลิกภาพเพื่อให้ดูเก๋ สะดุดตาเพราะดังที่ทราบกันดีแล้วว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง หลวงวิจิตรวาทการก็เคยเขียนไว้ว่า ระหว่างคนสวยกับคนดี ผู้ชายมักเลือกคนสวยก่อน จากนั้นจึงดูต่อไปว่าดีไหม สำหรับคนที่ไม่สวย จึงจำเป็นต้องใช้การแต่งกายช่วย การประชุมประจำปีของสามัคคีสมาคมปีนั้นจัดขึ้น ที่เมืองบาธทางตะวันออกของกรุงลอนดอน ใช้สถานที่ของโรงเรียนไบรอันสตัน ซึ่งเป็นพับลิคสกูลชั้นดี มีเนื้อที่กว้างขวาง ร่มรื่น ต้นไม้ใหญ่มาก นักเรียนไทยเกือบทั้งเกาะอังกฤษรวมหลายร้อยคน ไปร่วมประชุมกันเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน พี่มยุรีแสดงสปิริตอย่างเต็มที่ ให้ร่วมทีมโต้วาทีก็รับ ให้เล่นละครก็เล่น ให้เล่นกีฬาก็ไม่ปฏิเสธ จึงเป็นที่ชื่นชมของนักเรียนไทยในอังกฤษ
เคล็ดลับข้อที่สาม คือหาโอกาสแสดงออก เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและชื่นชมในสังคม ประเด็นนี้แม้ไม่เกี่ยวกับการหาคู่ครองโดยตรง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ หลังการประชุมของสมาคม กลับเข้าไปกรุงลอนดอน พี่มยุรีไปพักกับอาจารย์เก่าตั้งแต่สมัยเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดม ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นเป็นภริยาของทูตทหารบกคือ พันเอกอำนวย ชัยโรจน์ โดยพี่มยุรีเปลี่ยนใจอยู่อังกฤษต่อแทนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ทั้งนี้ตามคำแนะนำของ ดร.กำแหง ที่ทราบว่า พี่มยุรียังไม่ได้ปริญญาอะไรจากอเมริกาโดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ได้ปริญญาจากเมืองนอกกลับไปเมืองไทยจะลำบาก และแนะนำให้เรียนวิชาเวชศาสตร์เขตร้อนที่มหาวิทยาลัยลอนดอน โดยดร.กำแหง ได้จัดการฝากให้ด้วย พี่มยุรีจึงได้เป็นนักเรียนอังกฤษ และอยู่ต่อมาถึง 4 ปี ทั้งนี้เพราะท่านทูตทหารบกมีเมตตา ขอทุนกระทรวงกลาโหมให้พี่มยุรีเรียนเวชศาสตร์เขตร้อน เพียง 6 เดือนเศษก็จบ เพราะพื้นฐานดีมากอยู่แล้วทั้งวิชาแพทย์ และภาษาอังกฤษ จึงต้องเรียนวิชาอื่นต่ออีกหลายวิชา จนครบกำหนดทุนจึงเดินทางกลับประเทศไทย ช่วงที่อยู่อังกฤษนี้เองที่พี่มยุรีตัดสินใจว่า ก่อนจะกลับเมืองไทยจะต้องมีสามีกลับไปด้วย เพราะอายุก็มากพอสมควรแล้ว พี่มยุรีนำประวัตินักเรียนไทยในอังกฤษทั้งหมดที่ยังโสดมาดู แล้วค่อยๆ คัดออกโดยวางเกณฑ์ว่า อาชีพใดเหมาะกับแพทย์หญิง รวมทั้งวัยและอื่นๆ คัดเหลือ 10 คน แล้วคัดอีกทีเหลือ 5 คน
เคล็ดข้อที่สี่ คือการวางแผนเลือกคนอย่างมีเหตุมีผล เพราะถ้าศึกษาจากธรรมนูญชีวิตของพระเทพเวทีแล้ว คู่ครองที่ดีที่เป็นคู่สร้างคู่สมนั้นต้องมีทั้ง ศรัทธาสมกัน ศีลสมกัน จาคะสมกันและปัญญาสมกัน "เมื่อคัดเหลือ 5 คน แล้ว พี่ก็ศึกษาทุกอย่างละเอียด แล้วพยายามเรียนรู้สิ่งที่แต่ละคนชอบอย่างเต็มที่ คนหนึ่งเป็นผู้พิพากษา ชอบเทนนิส พี่ศึกษาทั้งกฎกติกามารยาท และใครเป็นใครในแวดวงเทนนิส เมื่อพบกันจึงคุยกันอย่างออกรส จนเขาคิดว่าพี่เป็นนักเทนนิส"
เคล็ดข้อที่ห้า คือมีความตั้งใจและพยายามที่จะรู้จัก คนที่เราจะคบหาด้วย ทั้งเพื่อสร้างความประทับใจ และเพื่อเปิดทางให้รู้จักกันได้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป สำหรับดร.กำแหง ซึ่งได้เดินทางจากเคมบริดจ์ เข้ากรุงลอนดอนวันเสาร์ เพื่อไปพบพี่มยุรีที่บ้านทูตทหารบก พี่มยุรีได้แสดงฝีมือทำอาหารคือ ข้าวตังหน้าตั้ง และขนมปังหน้าหมูเลี้ยง "การทำข้าวตังหน้าตั้งในกรุงลอนดอนไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ต้องหุงข้าวให้แฉะมากๆ แล้วตากแดดล่วงหน้า 2-3 วัน จึงเอาไปทำข้าวตังหน้าตั้งได้"
เคล็ดข้อที่หก เสน่ห์ปลายจวัก เป็นสิ่งที่สอนกันมาแต่โบราณ ปัจจุบันผู้หญิงอาจไม่สนใจกันนักแล้ว แต่การที่ผู้หญิงอย่างพี่มยุรีซึ่งเป็นนักเรียนนอกในอเมริกาหลายปี และเป็นแพทย์หญิง แต่สามารถทำข้างตังหน้าตั้งและขนมปังหน้าหมู เลี้ยงแขกในอังกฤษได้ ย่อมเป็นเสน่ห์ปลายให้ชายโสด วัยใกล้สี่สิบได้ทึ่งไม่มากก็น้อย แต่พี่มยุรีก็ไม่ได้มุ่งคบหาแต่ ดร.กำแหงเพียงคนเดียว "ท่านทูตทหารบกแนะนำพี่ว่า อย่าง please ใครเป็นพิเศษ เพียงคนเดียว ให้ please ทุกคนเสมอกัน เพราะธรรมชาติผู้ชายถ้าเขารู้สึกว่าชนะใจผู้หญิงแล้ว ความกระตือรือร้นจะลดลงไป"
เคล็ดข้อที่เจ็ด เพื่อตอบแทนที่ ดร.กำแหง ฝากเข้าเรียนต่อ ในมหาวิทยาลัยลอนดอน พี่มยุรีจึงขอเชิญ ดร.กำแหง ไปดูละครในกรุงลอนดอน การชวนไปดูละครสำหรับคนอังกฤษ แสดงถึงความเป็นผู้มีรสนิยมสูง และเมื่อดูจบแล้ว ดร.กำแหง ได้ชวนสนทนาเรื่องละคร " คงเพื่อทดสอบภาษาอังกฤษของพี้ว่า สามารถเข้าถึงรสของละครได้แค่ไหน ซึ่งโชคดี ภาษาอังกฤษของพี่สบายอยู่แล้ว เพราะคุณพ่อให้เรียนพิเศษ กับครูฝรั่งอยู่หลายปี แล้วไปอยู่ที่อเมริกาอีกตั้ง 5-6 ปี " หลังจากนั้นมีจดหมายจาก ดร.กำแหง ที่ทำให้พี่มยุรีปลื้ม และจดจำถ้อยคำสำคัญในจดหมายนั้นได้ไม่รู้ลืม เพราะจดหมายเขียนว่า " I enjoy every minute being with you" และขอเชิญพี่มยุรีไปชมพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ ของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พี่มยุรีรับจดหมายแล้วอยากตอบทันที แต่ก็ข่มใจไว้สามวันจึงตอบ
เคล็ดข้อที่แปด เพราะถ้าตอบทันทีในความรู้สึกแบบไทยๆ ผู้ชายอาจรู้สึกว่า "ผู้หญิงคนนี้ง่าย" การรอจังหวะเวลา ให้เนิ่นนานออกไป แต่ไม่นานจนเกินไปนัก คำตอบที่ผู้ชายได้รับจึงสมควรและทวีคุณค่าขึ้นโดยปริยาย เมื่อไปชมพิพิธภัณฑ์ที่พี่มยุรีถูกทดสอบอีกครั้ง โดยคำถาม 20 คำถามจาก ดร.กำแหง ที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง ในวิชากายวิภาคศาสตร์ ก้อนอวัยวะต่างๆ ที่ดองเก็บไว้ ถูกนำมาเป็นโจทย์ ซึ่งพี่มยุรีตอบได้หมดย่อมทำให้ ดร.กำแหง รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีสมปัญญา คือ ปัญญาสมกัน แต่บททดสอบที่เป็นบทชี้ขาดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ วันหนึ่งพี่มยุรีได้รับเชิญไปงานเลี้ยงที่บ้านข้าราชการสถานทูตคนหนึ่ง พี่มยุรีไปช่วยทำอาหารตั้งแต่สิบโมงเช้า พอสิบเอ็ดโมงครึ่ง มีเสียงกริ่งเรียกที่หน้าประตู พี่มยุรีเป็นคนออกไปเปิดประตูรับ พบดร.กำแหง ควงคู่มากับสาวสวยสกุลสูงคนหนึ่ง ดร.กำแหง มีท่าทางตกใจมาก เพราะไม่นึกไม่ฝันว่าพี่มยุรีจะมางานนี้ด้วย แต่พี่มยุรีควบคุมตนเองได้อย่างดี ไม่แสดงอาการหวั่นไหวใดๆ ทั้งที่จริงแล้ว "หัวใจแทบสลาย" พี่มยุรีเชิญ "แขก" ทั้งสองเข้าบ้านนำเครื่องดื่มไปให้ แล้วอยู่ในงานนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยยังคงความแช่มชื่นเบิกบานไว้ได้อย่างดี วันเสาร์ต่อมา ได้พบ ดร.กำแหง อีก พี่มยุรีไม่ถามถึงเหตุการณ์ในวันก่อนเลย
เคล็ดลับข้อที่เก้า ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญยิ่ง "คุณกำแหง คงเห็นว่า ผู้หญิงคนนี้เหมาะที่จะเลือกเป็นคู่ชีวิต หลังจากที่เลือกมานาน" พี่มยุรีแต่งงานกับ ดร.กำแหง ที่อังกฤษ เมื่อพี่มยุรีอายุได้ 28 และ ดร.กำแหง อายุได้ 40 เรื่องราวของพี่มยุรี คงให้ข้อคิดแก่ผู้หญิงโดยเฉพาะแพทย์หญิง ไม่มากก็น้อย
แม้เคล็ดต่างๆ แต่ละข้อจะสรุปจากเหตุการณ์ อย่างไม่เป็นระบบเลยก็ตาม ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการมีคู่ครองโดยได้คู่ครองที่ดี เพื่อไม่ต้องปวดร้าวตามบทกวีของ อังคาร กัลยาพงศ์ ที่ว่า
ฟ้าสร้างสิทธัตถะพี่ เป็นคู่ม้วยเมื่อสมัยทอง ธรรมธิเบศร์มหากวี มอดม้วยด้วยแรงรักนั้น แม้แต่บุหงาลดาวัลย์ ฟ้าเมตตามิกล้าให้ระทม แต่ฟ้าปั้นฉันคนเดียว มีพิมพายโสธราน้อง ของบุราณดึกดำบรรพ์ มีหญิงสังวาลย์เป็นมิ่งขวัญ ทุกชีวันพบชู้คู่ชม อัศจรรย์ผึ้งภู่สู่สม บรมสุขทุกจุลินทรีย์ เปล่าเปลี่ยวใจไฉนฉะนี้
ทำอย่างไรไม่ให้ถูกชักจูงง่าย
โลกเราทุกวันนี้ มีข่าวของการหลอกลวง ชักจูงไปในทางไม่ดีอยู่เรื่อย บางแห่งมีการหลอกให้ไปหลงเลื่อมใสลัทธิแปลกๆ และถูกผู้นำหลอกไปสังหารหมู่ก็มี
บ้านเราเองก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำมิได้ขาด ตั้งแต่หลอกให้ลุ่มหลงในลัทธิศาสนา และไสยศาสตร์ จนถึงการต้มตุ๋นหลอกเอาเงินทองไปครั้งละมากๆ แทบไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้ยังมีแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้น และยังมีคนหลงเอาเงินไปให้เขาอีก พวกมิจฉาชีพที่ตกทองเอาของปลอมไปแลกของจริงก็ยังหากินอยู่ได้
สิ่งที่มีอิทธิพลในการโน้มน้าวชักจูง ให้คนเชื่อในทิศทางที่อาจไม่ตรงความเป็นจริงนัก ได้แก่การโฆษณา ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก การโฆษณาสินค้า มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคน ให้เกิดการซึมซาบเข้าไปในจิตไร้สำนึก ว่าสินค้าที่โฆษณานั้นมีคุณสมบัติดีจริง ใช้แล้วจะโก้เก๋ หรือมีคุณลักษณะเหมือนนายแบบนางแบบ ที่เขาจ้างมาเป็นผู้นำเสนอนั้น
ความจริงแล้ว บุคคลที่รับจ้างโฆษณานั้น บางทีมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือใช้สินค้าชนิดนั้นแต่อย่างใด บางคนไปโฆษณาสุราทั้งที่ไม่เคยดื่มสุราเลยก็มี นางแบบที่โฆษณายาสระผม บางทีก็ไม่เคยใช้ยาสระผม ชนิดนั้นเลย และเส้นผมของเขาก็ไม่ได้สวยงามดำเป็นมันอย่างที่เห็นในหนังโฆษณา นายแบบที่เคยโฆษณาบุหรี่ให้ดูว่าสูบแล้วโก้เก๋เป็นพระเอก ก็เป็นมะเร็งตายเสียแล้ว หลังจากทำให้คนหลงเอาอย่างมาเสียหลายปี
นางงามที่กองประกวดพยายามสร้างภาพให้เข้าใจว่าสวยที่สุดในประเทศ สวยที่สุดในโลก หรือสวยที่สุดในจักรวาลนั้น ความจริงแล้วมิได้สวยไปกว่าผู้หญิงอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้เข้าประกวด แต่การสร้างภาพก็ได้ผลในการล่อจระเข้หนุ่มจระเข้เฒ่าทั้งหลายให้หลงใหล น้ำลายสอ จนต้องทุ่มเทกันอย่างสุดเหวี่ยง
นักการเมืองที่หาโอกาสแต่จะไปถ่ายรูปปะหน้าผลงานคนอื่นและตู่มาเป็นผลงานตน ก็สร้างภาพให้คนส่วนหนึ่งเชื่อว่าเขามีผลงานจริง
นักฉวยโอกาสบางคนพยายามเสนอตัวให้ปรากฏในสื่อมวลชนทุกแขนง สร้างภาพให้คนส่วนหนึ่ง หลงเชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถจริง บางคนไม่ได้เป็นแพทย์ก็ทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นแพทย์ หลอกเอาเงินประชาชนไปมิใช่น้อย คนไข้โรคจิตบางรายถึงกับหยุดกินยาที่แพทย์สั่งไว้ จนเกิดอาการคลุ้มคลั่งเพราะมีประสาทหลอนและกระโดดตึกตายไปก็มี
ผลของการโฆษณาและการสร้างภาพ ทำให้พฤติกรรมในการบริโภคของคนในสังคม เป็นไปในทิศทางที่เขาพยายามโน้มน้าวให้เป็น
สินค้าหลายชนิดขายดิบขายดีเพราะอิทธิพลของการโฆษณา นาฬิกาข้อมือถูกเปลี่ยนไปเป็น เครื่องประดับแทนที่จะเป็นเครื่องบอกเวลา จึงต้องซื้อหากันในราคาแพงเกินจำเป็น รถยนต์ถูกใช้เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะหรือชนชั้น แทนที่จะใช้เป็นยานพาหนะ จึงทำให้ยอดขายรถยนต์ราคาแพงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมากนัก
รถชนิดขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเรา เพราะเชื่อกันว่า เป็นของดีที่ใครๆ ก็ใช้กัน และเป็นสมัยนิยม พอซื้อมาแล้วก็ขับกันอยู่แต่ในเมือง ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์จากการขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ต้องจ่ายเงินไปเลยกลายเป็นความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ
สาเหตุที่ทำให้คนเราถูกชักนำให้เชื่อและมีพฤติกรรมตามความเชื่อนั้น เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกบุคคลนั้น ตัวอย่างเช่น1. บุคลิกภาพ ผู้ที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ ขาดความมั่นคง ไม่เป็นตัวของตัวเอง มีความต้องการพึ่งพิงผู้อื่นสูง มีโอกาสถูกชักจูงได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
2. การขาดเอกลักษณ์แห่งตน (identity) ผู้ที่ขาดเอกลักษณ์ไม่มีจุดยืน ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ขาดหลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผล มีแนวโน้มจะถูกชักจูงให้ทำตามหรือลอกเลียนแบบผู้อื่น ได้ง่ายกว่าคนที่มีเอกลักษณ์
3. วัย วัยเด็กเป็นวัยที่มีโอกาสถูกชักจูงโน้มน้าวให้เชื่อและทำตามบุคคลที่ใกล้ชิด หรือมีความสำคัญในชีวิตได้ง่ายกว่าวัยผู้ใหญ่ ส่วนวัยรุ่นมักได้รับอิทธิพลจากเพื่อนมากที่สุด เพราะมีความต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนมากกว่าวัยอื่น
4. การขาดความรู้และขาดประสบการณ์ ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา หรือผู้มีโอกาส แต่ขาดความสนใจในการแสวงหาความรู้ ย่อมมีโอกาสถูกชักนำให้หลงผิดได้ง่ายกว่า คนมีความรู้และประสบการณ์ บางทีถูกชักจูงให้หลงผิดเลือกผู้ร้ายเข้าสภาก็มี
5. กิเลส ความโลภบางครั้งทำให้คนถูกหลอกได้ง่ายขึ้น พวกมิจฉาชีพจึงสามารถใช้อุบาย ตกทองหากินมาได้จนถึงปัจจุบัน แชร์ลูกโซ่ก็ไม่มีวันหมดไปจากประเทศนี้
6. ความเอนเอียงที่จะเชื่อในสิ่งนั้น คนที่อยากได้ผู้วิเศษมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไว้ เป็นที่พึ่งกราบไหว้บูชา มีแนวโน้มจะถูกผู้อวดอ้างว่ามีคุณสมบัติดังกล่าวหลอกได้ง่าย บางที่ลึกๆ ก็รู้ว่า เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก
7. สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ในภาวะที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ไม่สงบ จิตใจของประชาชนระส่ำระสาย การเชื่อถือข่าวลือมักเกิดขึ้นได้ง่าย ปัจจัยนี้เคยถูกนำไปใช้ ในทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่น กรณีตะโกนปล่อยข่าวใส่ร้ายคุณปรีดีพนมยงค์ ในโรงภาพยนต์ การให้ร้ายป้ายสีนักศึกษาว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือเป็นคนญวน ในกรณี 6 ตุลาคม 2519 และการชักนำให้ทหารหลงเชื่อว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้คิดร้ายต่อบ้านเมือง จนเกิดการเข่นฆ่าในกรณีพฤษภาคม 2535
การป้องกันแก้ไข
ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงหรือชักนำไปในทางที่ผิด ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การเลี้ยงดูเด็ก ให้มีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ถูกต้องเหมาะสม
เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้มีพัฒนาการทางความคิดที่เป็นอิสระ มีการใช้เหตุผล รู้จักไตร่ตรอง มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป มีเอกลักษณ์ของตนเอง มีจุดยืนที่มั่นคง และมีเป้าหมายในชีวิตที่สมเหตุผล
สิ่งเหล่านี้ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ อย่างสม่ำเสมอ มิใช่สามารถสร้างได้ ในระยะเวลาอันสั้น จะมาเข้ารับการอบรมหลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพตอนโต ก็ไม่ค่อยได้ผล ไม่เหมือนสร้างมาตั้งแต่เล็กๆ
การรณรงค์ให้เด็กและวัยรุ่นไม่ถูกชักนำจากเพื่อนหรือบุคคลอื่นให้ตกเป็นทาสยาเสพติด เขาจึงใช้คำขวัญว่า "Just say no" เป็นการสอนให้รู้จักปฏิเสธและเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องไปตามอย่างใคร หรือเกรงใจใครในเรื่องที่ไม่สมควร
ประชาชนทั่วไปควรพัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ ด้วยการอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองที่มีสาระ อย่าสนใจแต่เพียงความบันเทิง การมีข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ร่วมกับการใช้สติปัญญาไตร่ตรองในเรื่องต่างๆ ช่วยให้ไม่ถูกชักนำไปในทางงมงาย หรือตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีต่อเรา
หากพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุผล ก็จะเกิดความระมัดระวังและรอบคอบในการเชื่อสิ่งต่างๆ ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาหรือการหลอกลวงผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการติดต่อทางตรง
ถ้าใช้วิจารณญาณให้ดี อาจคิดได้ว่า สินค้าที่โฆษณามากๆ นั้น ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระ ค่าโฆษณาไว้ในต้นทุนด้วย หน่วยงานราชการที่โฆษณาตัวเองมากๆ ราวกับเป็นบริษัทเอกชนนั้น กำลังใช้งบประมาณจากภาษีอากรไปในทางที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะใช้เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง นักการเมืองที่สร้างภาพเก่งๆ อาจไม่ได้ใช้เวลาทำงานในหน้าที่อย่างจริงจัง หรือทำอะไรไม่เป็นเลยก็ได้
อันที่จริงพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าอะไรไม่ควรเชื่อ และอะไรควรเชื่อ แต่คนส่วนใหญ่ยังนับถือศาสนาแบบงมงาย คือ แทนที่จะนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพิจารณาไตร่ตรองพิสูจน์ แล้วปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ กลับไปนับถือกราบไหว้วัตถุแบบไสยศาสตร์ หวังเพียงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่ง บ้านเมืองจึงด้อยพัฒนา และประชาชนมัวเมาอยู่ในอบายมุขทุกชนิด
การปฏิบัติตามธรรมของศาสนาที่ใช้ปัญญาและสติเป็นที่ตั้งย่อมเป็นหนทางไปสู่การดับทุกข์ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการสร้างเสริมสุขภาพจิต บทความนี้ผู้อ่านไม่ควรเชื่อจนกว่าจะได้นำไปพิสูจน์ และไตร่ตรองพิจารณา ด้วยเหตุผลให้ถ่องแท้เสียก่อน
ทำอย่างไรให้ใครๆ ชอบ
วัยรุ่นและหนุ่มสาวหลายคนขอร้องให้เขียนเรื่อง "ทำอย่างไรให้ใครๆ ชอบ" ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ก็จะต้องตกลงกันให้เข้าใจเสียแต่ต้นว่า คำว่า "ชอบ" กับ "รัก" ในภาษาไทยไม่ใช่คำเดียวกัน แต่เรามักใช้ผิดหรือปนเปกันไปหมด "ชอบ" แปลว่า พอใจ...ก็เท่านั้นเอง ยังไม่ลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจ เราชอบกินแกงต้มยำ ไม่ได้แปลว่า เรารักแกงต้มยำ
เราชอบส้วมแบบนั่งชักโครก (คือไม่ชอบส้วมแบบนั่งยองๆ) ก็ไม่ได้แปลว่า เรารักส้วมแบบชักโครก แต่เรารักต้นไม้ได้ เพราะคนรักต้นไม้จะเอาใจใส่ ทะนุบำรุง ดูแล ห่วงใย และอยากปกป้องคุ้มครอง พูดสั้นๆ ถ้าเรารักอะไร เราเอาหัวใจทั้งดวงไปผูกพันกับสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาบอกคุณว่า เขาชอบคุณ ก็แปลว่า เขาอยู่แค่ชั้นพอใจคุณเท่านั้น อย่าคิดเลยเถิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาจะเอาหัวใจทั้งดวงของเขามาผูกพันกับคุณ แต่เพื่อนนี่ชอบกันถ้าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ก็จะกลายเป็นเพื่อนรักกันตลอดไปได้ จะเขียนเรื่องชอบอย่างเพื่อนก่อน วัยรุ่นไม่ชอบอะไรเยิ่นเย้อ ก็จะให้ข้อแนะนำทันทีเลยว่า ทำอย่างไรจะให้คนชอบคุณอย่างเพื่อน
1.ทำตัวเป็นธรรมชาติ
คนเราไม่ชอบคนเสแสร้ง คนเราไม่ชอบคนดัดจริตหรือคนวางท่า คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน ความเป็นเพื่อนต้องการความจริงใจ คนวางท่าหยิ่ง หรือจีบปากจีบคอพูดเราไม่ชอบคนดัดจริตหรือคนวางท่า คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน อาจดึงดูดความสนใจชั่วขณะแรกพบกัน แต่รับรองว่าไม่กี่ครั้ง เขาก็จะเบื่อและรำคาญ หรือถ้าเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน เขาก็จะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า
2.สนใจฟังเขา ไม่พูดแต่เรื่องของตัวเอง
คนเป็นเพื่อนกันก็ต้องคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟังบ้าง แต่ต้องมีการแลกเปลี่ยนและสนใจเรื่องของเขา มากกว่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง
3.อารมณ์ดี
คนเราไม่ชอบเข้าใกล้คนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว ยิ่งก้าวร้าวด้วยละก็นั่งเหงาไปคนเดียวเถอะ ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น คุณจะพบว่า คุณมีเพื่อนน้อยลงๆ เพราะเขาค่อยๆ ตีตัวออกห่างไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนอารมณ์ดี ที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ
4.รู้จัก "ให้" และ "รับ"
การให้และรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ การช่วยเหลือเวลาเขามีความทุกข์ การช่วยเหลือการงานหรือการเรียน ฯลฯ ของเขาก็ถือเป็นการให้ เป็นการให้ที่มีค่ามากด้วยซ้ำไป
ที่แนะนำให้รู้จัก "รับ" ด้วยนั้น ก็เพราะผู้เขียนเห็นมามาก พอที่จะกล้ากล่าวว่า คนจิตใจปกติมักไม่ชอบคนที่ไม่ยอมรับอะไรจากใครเลย คนเราไม่ชอบคนที่ทำให้เรารู้สึกละอายใจ
5.มองโลกในแง่ดี
ถ้าคุณเห็นดอกไม้สวย เห็นเด็กๆ น่ารัก เห็นเพื่อนบางคนเก่ง เห็นครูบางคนดี ถ้าคุณมองทะลุสิวเขรอะของเพื่อนเข้าไปเห็นความร่าเริง และความมีน้ำใจของเขา ถ้าคุณพูดยกย่องความดีความสามารถของใครๆ มากกว่าพูดตำหนิ หรือนินทาเขา ใครๆ ก็จะอยากเข้าใกล้คุณ อยากคุยกับคุณ อยากเป็นเพื่อนของคุณ ฝึกตนเองให้มองโลกในแง่ดีแล้วมันจะติดเป็นนิสัยคุณไปตลอดชีวิต คนอยู่ใกล้ก็เป็นสุข แล้วจะถ่ายทอดไปถึงลูกหลานของคุณด้วย
6.อย่าบ่น อย่าบึ้ง อย่าเบ่ง อย่าเบี้ยว
บอก ต่างกับ บ่น เพราะว่าบอกคือ พูดสั้นๆ ไม่ใส่อารมณ์ และพูดหนเดียวพอ คนเราไม่ชอบฟังแผ่นเสียงตกร่อง เบี้ยว คือ ไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่ทำตามสัญญา ขอยืมแล้วไม่ใช้ ฯลฯ นอกจากเขาจะไม่ชอบแล้ว เขาจะดูถูกและเมินหนีอีกด้วย ธรรมชาติมนุษย์ชอบเข้าใกล้คนหน้าตายิ้มแย้ม ทักทาย ทักเพื่อนก่อนได้กำไร เหมือนเปิดประตูเชิญให้เขาวิสาสะด้วย ถ้าทักเขาก่อนแล้วเขาไม่ทักตอบก็อย่าเสียใจ เขาอาจจะไม่เห็น อาจจะกำลังใจลอยคิดอะไรเพลินอยู่ หรือเขาอาจจะเป็นคนไม่มีมารยาท คุณยังอยากจะเสียเวลากับคนไม่มีมารยาทอยู่อีกหรือ?
บ่น คนรำคาญ
บึ้ง คนหนี
เบ่ง คนหมั่นไส้
เบี้ยว คนรังเกียจ
7.อย่านินทา
อย่าเอาคำว่า นินทา ไปปนกับคำวิจารณ์ นินทา เป็น พฤติกรรมทำลาย วิจารณ์ เป็น พฤติกรรมสร้างสรรค์ เพราะการวิจารณ์คือการพูดถึงข้อดี ข้อเสีย โดยใช้เหตุผลและไม่ใช้อารมณ์ การวิจารณ์ให้ประโยชน์ แต่การนินทาให้แต่โทษอย่างเดียว
8.อย่าชวนทำชั่ว
คนดีๆ ไม่ชอบคนที่มาฉุดให้เขาลงไปสู่ที่ต่ำ เช่น ลักขโมย สูบสารเสพติด ตีหัวหมาปาหัวเจ๊ก ฯลฯ จะมีก็แต่พวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดอันธพาลหรืออาชญากรเท่านั้นที่ชอบ
เพราะฉะนั้น ถ้าชวนคนดีๆ ทำชั่ว เขาจะรังเกียจและตีตนออกห่างทันที
9.ดูแลร่างกายให้น่าเข้าใกล้
คนผมไม่สระ เสื้อผ้าไม่ซักส่งกลิ่น ปากเหม็น กลิ่นตัวคลุ้ง จะนิสัยดีแค่ไหน เพื่อนก็ไม่อยากเข้าไปคุยด้วย เดินด้วย และอย่าลืมว่า กลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ก็ร้ายพอๆ กับกลิ่นตัว ไม่ใส่น้ำหอมเลยยังจะดีกว่า คนเราชอบกลิ่นรื่นรมย์
หลังจากปฏิบัติทุกข้อข้างต้นครบถ้วนแล้ว คุณก็มีอีกข้อหนึ่งต้องทำคือ ต้องทำใจยอมรับความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจริงที่ว่านั่นก็คือ ตั้งแต่มีการสร้างโลกกันมา ยังไม่เคยมีใครสักคนเดียวที่จะทำให้ทุกคนในโลกชอบได้...ไม่มีจริงๆ ความคิดที่อยากจะให้ทุกคนในโลกชอบคุณ จึงเป็นความคิด ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่ว่าคุณจะทุ่มกาย ทุ่มใจ ทุ่มเงินแค่ไหน ไปสืบดูเถิด เจ้าบุญทุ่มทุกคนยังไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเขาได้ ไม่เคยมีนางงามจักรวาลโลกคนไหนสามารถทำให้ทุกคนชอบเธอได้ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณทำดีที่สุดของคุณแล้วก็จงพอใจ จงบอกตัวเองแล้วจดจำไว้สอนลูกหลานด้วยว่า ไม่มีใครในโลกจะทำให้ทุกคนในโลกชอบตนได้...ไม่มีจริงๆ
อย่างไรก็ตามคุณอย่าทิ้งความเป็นตัวของคุณเอง อย่าพยายามทำตัวให้ใครๆ ชอบเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะนั่นก็เป็นข้อหนึ่งที่จะทำให้คนไม่ชอบคุณ
เริ่มลงมือปฏิบัติตามข้อแนะนำเสียแต่วันนี้คุณจะพบว่า นอกจากคุณจะมีเพื่อนชอบคุณมากขึ้นแล้ว คุณเองก็จะมีสุขภาพจิตดีขึ้นเสมอ เพราะทุกๆ ข้อที่กล่าวไว้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนเราสุขภาพจิตดี