จิตวิทยาการเดาใจคนและการรู้จักมองคน

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

โรคประสาท

ในบรรดาผู้ทุกข์ที่มาปรึกษาผมที่คลินิก ดูๆ แล้วจะมีผู้ทุกข์ที่เป็นโรคประสาทมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น สตรีสาวสวยคนหนึ่ง มีการศึกษาดี มาปรึกษาด้วยอาการขาดความมั่นใจตัวเอง คิดมา เพราะเห็นแฟนมีความก้าวหน้ามากกว่าตน กลัวว่าเขาจะไปชอบคนอื่น กลัวว่าตนจะถูกทอดทิ้ง ต้องให้แฟนโทรศัพท์มาหาบ่อยๆ ถ้าเขาไม่โทรมาหาก็จะกังวลและรอคอยจนเป็นทุกข์ เวลาพบกันก็อยากให้เขาเอาใจ เขาทำงานดึกดื่นก็ต้องให้เขาขับรถมาหา และมีความสัมพันธ์ทางเพศกันแล้วจึงจะให้กลับไปได้ ถ้าแฟนไม่มาหาก็ไม่สบายใจ มีความทุกข์มาก
ในช่วงที่มีเซ็กซ์ก็ไม่ได้มีความสุข เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็กังวลว่าตัวเองทำผิดไปหรือเปล่า กลัวเขาจะรำคาญและไม่รักจริง
อีกคนหนึ่งเป็นชายวัย 30 เศษ มีการศึกษาและการงานดี มีความทุกข์ในเวลาที่เห็นศาลพระภูมิแล้วจะกังวลและกลัวมาก เวลาไปเยี่ยมเพื่อนหรือไปตามที่ทำงานต่างๆ พอเห็นศาลพระภูมิพาลจะเป็นลม หน้าซีด ใจสั่น หมดแรง นี่เป็นความวิตกกังวล กลายเป็นโรคประสาทชนิดหวาดกลัว เพราะในจิตใต้สำนึกจะกลัวพ่อมาก ถูกเลี้ยงดูมาให้กลัว หรือพ่อก้าวร้าว ดุมาก ลูกชายจึงกลัวพ่อแล้วย้ายความกลัวนั้นมาที่ศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นตัวแทนของพ่อ จึงทำให้เขาหวาดกลัวศาลพระภูมิมาก
บางรายเป็นสตรีที่กังวลและกลัวกระบอกปืนมาก บางรายกังวลมากเมื่อเห็นไส้กรอก เนื่องมาจากสิ่งดังกล่าวเป็นตัวแทนของอวัยวะเพศชาย เนื่องจากเธอมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ และอวัยวะเพศชายตลอดมา เธอจึงย้ายความกลัวนั้นไปสู่วัตถุที่เป็นตัวแทนของอวัยวะเพศชายแทน เช่น กระบอกปืน ไส้กรอก หรืองู ซึ่งถือว่าเป็นโรคประสาทชนิดหวาดกลัว (Phobic Neurosis) ได้
โรคประสาทนี้เกิดได้มากในหมู่คน เป็นความผิดปกติทางจิตที่ไม่รุนแรงเท่าโรคจิต (โรคบ้า) ผู้ทุกข์ยังรู้จักตนเองดี ยังรู้ว่าทุกข์ ยังแสวงหาผู้ช่วยเหลือ ยังรับรู้ความจริง (Reality) ได้ ยังเป็นที่ยอมรับของสังคมได้
โรคประสาทเกิดจากการปรับอารมณ์และความคิดได้อย่างไม่เหมาะสม เมื่อเกิดความขัดแย้งในใจ อาการที่พบได้บ่อยๆ เช่น วิตกกังวลมากเกินไป หวาดกลัวอย่างไม่สมเหตุสมผล ซึมเศร้ามาก ย้ำคิดย้ำทำ ขาดความสุข ฯลฯ

สาเหตุของโรคประสาท
เชื่อว่าเกิดได้จากสาเหตุดังนี้

1. มีบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสม มีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ยากเมื่อเกิดปัญหา ความกดดัน ความขัดแย้ง มาจากการเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็ก และประสบการณ์ที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็ก เช่น
คนที่ชอบเป็นคนสมบูรณ์แบบ มักจะเป็นโรคประสาทชนิดย้ำคิดย้ำทำ
คนที่เรียกร้องความรักและความสนใจมาก มักเป็นโรคประสาทชนิดฮีสทีเรีย
คนที่คิดถึงตัวเองในแง่ปมด้อย มักจะเป็นโรคประสาทชนิดซึมเศร้า
คนที่มีความคาดหวังสูงเกินความเป็นจริง มักจะเป็นโรคประสาทชนิดวิตกกังวล
คนที่ถูกเลี้ยงดูมาให้มีความหวาดกลัวพ่อแม่มากๆ มักจะเป็นโรคประสาทชนิดหวาดกลัว ฯลฯ

2. จากประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิต ทำให้เกิดเป็นรอยจารึก ที่ไม่ดี เกิดความฝังใจและเป็นความทุกข์ต่อไป เช่น ถ้าถูกทอดทิ้งโดยคนรัก อกหัก จะฝังใจต่อภาวะอกหัก และกลัวการมีแฟน จะเครียดได้ง่าย เมื่อต้องอยู่กับคนต่างเพศ หรือถ้าเด็กๆ เคยถูกเพื่อนล้อเลียนลักษณะด้อยบางอย่าง จะฝังใจและกังวลกลัวการถูกล้อเลียนได้ การที่มีความคับข้องใจและหาทางออกแบบไม่เหมาะสมนี้ จะทำให้กลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีได้ เช่น กังวลมาก กลัวมาก

3. จากกรรมพันธุ์ และสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ถ้ามีคนที่เป็นโรคประสาทอยู่ใกล้ตัว จะทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

ชนิดของโรคประสาท
แบ่งได้เป็นหลายๆ อย่างดังนี้


1. โรคประสาทชนิดกังวล (Anxiety Neurosis) จะมีความกังวลมากกว่าปกติ มีความตึงเครียดมาก

2. โรคประสาทฮิสทีเรีย (Hysterical Neurosis) เป็นลักษณะของความวิตกกังวลที่เปลี่ยนไปเป็นความเจ็บป่วยพิการทางกาย เช่น ชักโดยไม่มีสาเหตุ หรือเป็นอัมพาตโดยไม่มีสาเหตุ หรืออาจจะเปลี่ยนจากความวิตกกังวลกลายเป็นคนมีผีเข้าเจ้าสิงก็ได้

3. โรคประสาทชนิดหวาดกลัว (Phobic Neurosis) จะมีความหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว เช่น กลัวความสูง กลัวสัตว์บางชนิด กลัวฝูงคน ฯลฯ

4. โรคประสาทชนิดย้ำคิดย้ำทำ (Obscessive Compulsive Neurosis) ชอบคิดซ้ำๆ ทำซ้ำๆ เช่น คิดว่ามือสกปรกต้องล้างมือบ่อยๆ หรือเช็คดูความเรียบร้อยของกลอนประตูหน้าต่างบ่อยๆ จนเป็นทุกข์ เป็นต้น

5. โรคประสาทชนิดซึมเศร้า (Depressive Neurosis) จะมีความซึมเศร้ามากกว่าปกติ โดยเฉพาะเวลาสูญเสียสิ่งรัก

6. โรคประสาทที่คิดว่าตัวเองด้อยความเป็นคนลงไป (Depersonalization) เช่น คิดว่าตนเองมีแขน ขา สั้นลงๆ หรือมีขนาดร่างกายเล็กลงๆ

7. โรคประสาทชนิดอ่อนเพลียง่าย (Neurasthenia) พวกนี้มักรู้สึกอ่อนเพลียง่ายหงุดหงิด ปวดหัว ซึมเศร้า ขาดสมาธิ รู้สึกสุขภาพไม่ดี หมดกำลังใจลงเรื่อยๆ

8. โรคประสาทแบบหมกมุ่นกับสุขภาพมากไป (Hypochondriasis) ผู้ป่วยจะมีอาการหมกมุ่น และย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับสุขภาพหรือสุขภาพจิตมากไป และมีอาการทางร่างกายร่วมไปด้วยโดยหาเหตุผลไม่ได้ พวกนี้มีลักษณะรักตนเองมากเกินปกติ จะนึกถึงตนเองและร่างกายตนเองมากเกินไป จะรู้สึกป่วยในขณะที่คนอื่นไม่รู้สึกอะไร มักเป็นคนเจ้าระเบียบ ระแวงสงสัย ไม่แน่ใจสิ่งแวดล้อม อาจมีประสบการณ์พบเห็นคนในครอบครัวเจ็บป่วย ตนเองมีความกดดันทางจิตและสังคม จึงคอยนึกว่าตนเองจะเจ็บป่วยไปด้วย มักไปหาแพทย์เพื่อตรวจโรคที่ตนมีอาการ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ คนไข้ไม่พอใจหมอ บางรายโต้เถียงเป็นเรื่องราวกันก็มี หาว่าแพทย์ตรวจไม่ดี บริการไม่ดี ความเจ็บป่วยที่คิดไปเองเหล่านี้ จะทำความรำคาญให้คนใกล้ชิดด้วย ผู้ป่วยมักจะวิตกกังวลคละเศร้าอยู่เสมอ
การรักษาโรคประสาทนั้นต้องอาศัยการใช้ยา การใช้จิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัด บางรายก็หายได้ง่าย บางรายก็หายได้ยาก โดยเฉพาะพวกที่ต่อต้านหรือไม่ให้ความร่วมมือ
โรคประสาทนี้เป็นกันมากในสังคม และจะเป็นกันมากขึ้นๆ ลองๆ เหลียวดูรอบๆ ตัวเองซิว่ามีคนเป็นโรคประสาทกี่คนแล้ว และตัวเองเป็นด้วยหรือเปล่า ?

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

โรคติดต่อทางอารมณ์

คุณทราบหรือไม่ว่า อารมณ์ของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ติดต่อกันได้ คุณอาจจะเคยได้ยิน แต่โรคที่ติดต่อทางกาย เช่น หวัด วัณโรค หรืออหิวาตกโรค แต่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินว่า อารมณ์ของคนเราก็ติดต่อกันได้เช่นกัน โดยเฉพาะอารมณ์ร้ายหรืออารมณ์ที่มีพิษ มักจะแพร่ขยายได้เร็ว บางทีอาจเร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคทางกายเสียอีก และที่ร้ายกว่านั่นก็คือ การแพร่ขยายของอารมณ์ที่ไม่ดีทั้งหลายสามารถส่งผ่านจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันยังได้เลย ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ก็ได้ สมมุติว่าคุณกำลังรถติดอยู่ พอเห็นสัญญาณไฟเขียวแค่วินาทีแรก รถคันหลังก็เกิดอาการประสาทบีบแตรเร่ง ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้ช้าอะไรเลย คุณย่อมรู้สึกโกรธ ต่อมแอดรีนาลีนของคุณเริ่มทำปริกิริยาตอบโต้ คุณเข้าเกียร์อย่างแรง กระแทกคันเร่ง รถคุณพึ่งปราดออกไปปาดหน้ารถคันหน้าทำให้เกือบจะชนกัน เจ้าของคนคันหน้าด่าคุณโขมงโฉงเฉง เมื่อกลับถึงบ้านความโกรธที่ยังไม่หายไป ทำให้คุณไประบายออกด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ และคำพูดที่แสดงความก้าวร้าวเอากับภรรยาและลูกๆ ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย ฯลฯ นี่เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่แสดงให้เห็นว่า อารมณ์ที่เป็นพิษเมื่อเกิดขึ้นกับใครคนหนึ่งแล้ว มักจะมีการแพร่ขยายเป็นโรคติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรารู้จักคนที่มีพิษ คนที่มักเป็นเจ้าของอารมณ์บูดทั้งหลาย หากเราไปอยู่ใกล้ เช่น ต้องทำงานร่วมกับเขา หรือต้องอยู่บ้านเดียวกันละก็ รับรองได้เลยว่าชีวิตคุณคงจะตกที่นั่งไม่ใคร่มีความสุขนัก เพราะแค่ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้น ก็มีอิทธิพลทำให้คุณรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ได้ไม่ยากเลย ทั้งนี้เพราะมนุษย์เราสามารถรับสื่อที่เป็นคล้ายพลังงานทางอารมณ์ทั้งร้อนและเย็นจากผู้อื่นได้ง่ายมาก และเราก็มักจะได้ผลกระทบจากพลังงานเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็ตาม ลองสังเกตดูก็ได้ว่า บางครั้งเราไปกราบพระที่ท่านมีธรรมมะระดับสูงๆ เพียงแค่เห็นหน้าของท่าน เราก็จะรับรู้ถึงกระแสแห่งความเย็นที่มากระทบจิตของเรา บางครั้งทำให้จิตที่รุ่มร้อนของเราคลายลง ได้อย่างประหลาด ในทางกลับกัน คนบางคนเป็นคนร้อน อยู่ใกล้หรือไกลก็จะรู้สึกอึดอัด ทั้งๆ ที่เขาอาจจะยังไม่ทันได้พูดอะไรกับเราเลยก็ได้ นอกจากนี้ คุณคงเคยดูโทรทัศน์ที่เป็นภาพยนต์ตลก และผู้สร้างจะปล่อยเสียงหัวเราะ ของผู้ดูรายการให้ดังเข้ามาในการแสดงด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะเสียงหัวเราะเป็นการติดต่อทางอารมณ์ได้ง่ายที่สุด เช่น ถ้าในห้องมีใครคนหนึ่งเริ่มต้นหัวเราะ จะมีคนอื่นๆ หัวเราะตามไปด้วยหมด (ดังนั้นผู้เขียนคิดว่า ถ้าท่านพูดอะไรที่ไม่แน่ใจว่าจะตลกหรือไม่ แต่ให้มีหน้าม้าทำหน้าที่หัวเราะไว้ก่อน สักประเดี๋ยวเดียวก็จะเห็นว่า ทุกคนในห้องร่วมหัวเราะไปกับท่านด้วย) ถ้าเป็นเรื่องของ "อารมณ์ในทางสร้างสรรค์" การระบาด หรือติดต่อทางอารมณ์ดูจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราคิดว่า ถ้ามนุษย์เรามีความรู้สึกร่วมในอารมณ์กับผู้อื่นได้ จะช่วยทำให้สังคมของเรา มีการเข้าใจกันมากขึ้น เพราะคนในสังคมรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รับรู้ความรู้สึกทางจิตใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เช่น ถ้าเขาเศร้า เสียใจ หรือดีใจ เราก็เศร้าหรือดีใจไปกับเขา ถ้าเป็นเพื่อความเข้าใจของมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่ควรพยายามทำให้เกิดมากขึ้น แต่ทุกอย่างย่อมต้องการความพอดี หรือทางสายกลางตามแบบพุทธศาสนา แม้ว่าการเอาใจเขา มาใส่ใจเราจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม แต่ถ้าเราทำจนเกินพอดี เช่น นำตัวเราเข้าไปรู้สึกเหมือนเขา 100% ก็คงจะไม่เป็นการดีนัก เพราะจะทำให้เราขาดความเป็นกลาง สมมุติว่า คนรักของเราไม่ชอบหัวหน้างานของเรา และเราก็ทำตัว "พลอย" เกลียดตาม ทั้งๆ ที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย การพลอยเกลียด พลอยรัก พลอยแค้น ฯลฯ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีนัก ถ้าเช่นนี้ แสดงว่าเราเอาใจเราเข้าไปเกี่ยวข้องมากเกินพอดี และอะไรที่เกินพอดี ก็มักจะไม่ใคร่ดีนัก แต่ลักษณะเช่นนี้มักจะมีในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย บางทีเราจะพบว่า แม่ยายจะโกรธลูกเขยแทนลูกสาว เมื่อลูกสาวมาฟ้องเรื่องลูกเขย และบ่อยครั้งที่ลูกเขยและลูกสาว เขาดีกันเรียบร้อยแล้ว แต่คุณแม่ยายก็ยังหงุดหงิดกับลูกเขยอยู่ก็มี
นอกจากการติดต่อกันทางอารมณ์แล้ว นักจิตวิทยายังพบว่า บางคนสามารถเปลี่ยนสภาพการขัดแย้งทางจิตใจ ให้ออกมาเป็นอาการทางร่างกายได้อีกต่างหาก
ดังกรณีของ สมสวาท เธอไม่ใคร่ถูกกับหัวหน้างานของเธอเท่าไร ในช่วงที่เธอต้องทำงานใกล้ชิดกับเขา เธอจะมีอาการปวดศีรษะ (ไมเกรน) เป็นประจำ แต่เมื่อเธออยู่ห่างจากหัวหน้า อาการของเธอก็จะทุเลาลง เป็นต้น คนที่อยู่ใกล้ชิดกันไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ลูก หรือสามีภรรยา ยิ่งจะมีอาการของ "โรคติดต่อทางอารมณ์" ที่สังเกตเห็นได้ง่าย เช่น ถ้าสามีกลับบ้านและมีอารมณ์ที่ซึมเศร้าไม่พูดไม่จา และมีปัญหากับที่ทำงาน รับรองภายในไม่กี่ชั่วโมง ภรรยาก็จะได้รับอานิสงส์ของความหงุดหงิดนี้ไม่ต่างจากสามี บางทีอาจจะยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำไป ถ้าเธอเป็นคนคิดมาก เธออาจจะนอนไม่หลับ มีปัญหาต่อเนื่องไปอีกหลายอย่างก็ได้

ทำไมคนเราจึงมีการ "ติดต่อทางอารมณ์" กันได้ง่ายนัก
จริงๆ แล้ว ถ้าเราถามคนร้อยทั้งร้อย ไม่มีใครอยากติดโรคนี้ แต่ทำไมเราจึงติดได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน คำตอบก็คือ มนุษย์เราโดยเฉพาะผู้หญิง มักเป็นเพศที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึก และอารมณ์มากเป็นพิเศษ ใครมาแสดงออกในอารมณ์ใดที่ใกล้ตัวเรา เราก็มักจะรับเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์เราได้ง่าย ทั้งอารมณ์ดีและอารมณ์ร้าย ดังนั้นถ้าให้เราปิดกั้น ไม่ให้รับอารมณ์ร้ายของผู้อื่นเข้ามาในระบบของเราโดยอัตโนมัติ อารมณ์ดีก็จะถูกปิดกั้นด้วยเช่นกัน เราก็จะกลายเป็นคนที่อาจจะถูกมองว่า "ใจดำ ใจแข็ง ขาดความรู้สึก" ไปได้ ลองคิดดูง่ายๆ ก็ได้ว่า ถ้าใครมาปรับทุกข์อะไรกับเรา แล้วเราไม่แสดงความรู้สึกนึกคิดหรือทีท่าเห็นอกเห็นใจเขาเลย เขาคงคิดว่า เราเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ไม่ใส่ใจเขาบ้าง กล่าวโดยสรุปก็คือ การแสดงความไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยนั้น ก็คงจะทำให้คนที่อยู่ด้วย เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจเช่นกัน ดังนั้น ความพอดีในการแสดงออกเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่จะอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา พ่อ แม่ ลูก หรือเพื่อนที่ทำงาน เป็นต้น นักจิตวิทยามีความเชื่อว่า คนเราทุกคนไม่ได้มีการรับ "โรคติดต่อทางอารมณ์" ในระดับเดียวกัน คนบางคนจะรับบางเรื่องง่ายกว่าเรื่องอื่น ตัวอย่างเช่น มลวิภา เธอเล่าว่าทุกครั้งที่เธอเห็นแม่เอ็ดลูก เธอจะกลับบ้านด้วยความรู้สึกหดหู่และเศร้าไปกับเด็กที่โดนแม่เอ็ดเสมอ เมื่อคุยกับเธอมากขึ้นก็ได้ความว่า การเห็นแม่เอ็ดลูกทำให้เธอนึกถึงความหลังครั้งที่เธอเป็นเด็กแล้วถูกแม่ดุเป็นประจำ เธอยังจำความเจ็บปวดนั้นได้ดี ความรู้สึกร่วมของมลวิภา อาจไม่ใช่ความรู้สึกร่วมของคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะเราทุกคนมีประสบการณ์ที่เป็นจุดอ่อนของชีวิตต่างกัน แต่สิ่งที่ต้องการย้ำให้เห็นก็คือ การติดต่อหรือระบาดทางอารมณ์ หลายครั้งมักมาจากอารมณ์ที่ยังคั่งค้างของบุคคลที่มีกับครอบครัวเดิมนั่นเอง

อารมณ์ใดเป็นอารมณ์ที่ติดต่อง่ายที่สุด
สำหรับผู้หญิง อารมณ์ที่มักจะพบบ่อยและติดต่อกันได้ง่ายที่สุดก็คือ อารมณ์ซึมเศร้า เซ็ง เบื่อหน่าย สมมุติว่าเพื่อนของคุณมาเอาคุณเป็นที่ระบายอารมณ์เศร้าของเธอสักชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง รับรองว่าหลังจากพูดกับเขาแล้วคุณมักจะรู้สึกเศร้าตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ และถ้าเขาเผอิญเป็นเพื่อนที่ทำงาน เจอหน้าคุณครั้งใดก็จะเล่าแต่เรื่องชีวิตรันทดของเขาให้คุณฟังอยู่เสมอ คุณก็คงจะเซ็งไปกับเขาด้วยเป็นแน่ เผลอๆ ก็ไม่อยากเจอเขา หลบได้เป็นหลบ ไม่ใช่เพราะคุณไม่แคร์ แต่คุณเหนื่อยที่จะต้องมารับฟัง เรื่องของเขาที่คุณไม่สามารถทำอะไรได้ต่างหาก วิธีหนึ่งที่คุณอาจจะแก้ไขได้โดยไม่เสียเพื่อนไปก็คือ เวลาที่คุณฟังเรื่องของเขา อย่าพยายามเอาตัวคุณ เข้าไปใส่เป็นตัวละครในชีวิตของเขา ให้ฟังโดยมีใจเป็นกลาง ให้นึกภาพเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่าผู้แสดงเอง แต่นี้คุณก็สามารถเปิดใจรับฟังได้ ตัวอย่างเช่น หากเพื่อนมาเล่าถึงความเห็นแก่ตัวของเพื่อนร่วมงานของเธอ ที่มักจะใช้เธอทำธุระ เรื่องส่วนตัวให้เขา ทำให้เพื่อนของคุณไม่สบายใจแต่ไม่กล้าบอกปฏิเสธไป ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบมีอารมณ์ร่วมมากๆ คุณอาจจะหงุดหงิดแทนเธอหรือมากกว่าเธอเสียอีก ผลก็คือ คุณจะหงุดหงิดมากกว่าเพื่อนคุณถึง 2 เท่า แต่ถ้าคุณฟังไป และรับรู้อารมณ์ว่าเพื่อนของคุณไม่สบายใจ แต่เขาก็ยังไม่มีความกล้าที่จะปฏิเสธผู้อื่นได้ คุณก็คงไม่หงุดหงิดร่วมไปกับเพื่อนของคุณอย่างแน่นอน เมื่อใครก็ตามมาเล่าเรื่องอะไรของเขาให้คุณฟัง ก่อนที่จะรับเข้ามาหงุดหงิด โกรธ หรือเสียใจไปกับเขา ให้ถามตัวเองเสมอว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของใคร ถ้าไม่ใช่เรื่องใช่ราวของคุณเลย ก็ให้ฟังเฉยๆ อย่าเข้าไปมีบทบาท เป็นผู้ร่วมแสดงกับเขาด้วย
ถ้าเผอิญคุณมีเพื่อนที่ชอบเอาคุณเป็นที่ปรึกษาหัวใจ หรือปัญหาอื่นใดก็ตามให้รับฟังเฉยๆ อย่าไปแสดงออกเป็นนักจิตวิทยาโดยการแนะนำนั่นนี่เป็นอันขาด เพราะบ่อยครั้งเราพบว่า คนเราต้องการความเห็นใจมากกว่าคำแนะนำ และเขาไม่เชื่อแล้วไปให้คำแนะนำเข้า คุณจะพบว่า เขาก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของคุณเลย ไม่ว่าคุณจะบอกเขากี่ครั้งกี่หนก็ตาม และคุณก็จะเสียอารมณ์ หงุดหงิดเปล่าๆ ทางออกประการหนึ่งของการช่วยเหลือเพื่อนที่มีทุกข์ หลังจากรับฟังเรื่องที่คล้ายกับทศนิยม ไม่รู้จบของเขาก็คือ ชักชวนให้เขาทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ไปเดินเล่น ช็อปปิ้ง เล่นกีฬา หรือแม้กระทั่งไปทำบุญเข้าวัดเข้าวา จิตใจจะได้สบาย แต่การทำกิจกรรมนั้น ควรเป็นกิจกรรมที่เพื่อนชอบหรือทำได้ อย่าชวนเขาไปเพราะเป็นสิ่งที่คุณชอบ

คุณทราบหรือไม่ว่า การเปลี่ยนแปลงของคนเรานั้นทำได้ 3 ทางคือ
ทางความคิด ทางความรู้สึก และทางพฤติกรรม การเปลี่ยนทางหนึ่ง จะกระทบทางอื่นๆ เสมอ เช่น ถ้าเพื่อนของคุณมีความรู้สึกเศร้าหดหู่ใจ หรือเซ็งกับชีวิต เขาอาจจะมีพฤติกรรม ที่นั่งสงสารตัวเองอยู่กับบ้าน หรือคิดฟุ้งซ่านอยากทำร้ายตัวเอง เป็นต้น
แม้ว่าคุณจะทำให้เพื่อนของคุณคลายจากความรู้สึกเบื่อหน่าย เจ็บปวด เศร้าก็ตาม แต่การให้เขาออกไปข้างนอกมีกิจกรรมต่างๆ ก็เท่ากับคุณพยายามช่วยให้พฤติกรรมของเขาเปลี่ยน และเมื่อพฤติกรรมของคนเราเปลี่ยน เช่น เขายอมไปเที่ยวเล่นกับคุณ การออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ ย่อมทำให้เขาหลุดออกมาจากอารมณ์เศร้าที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่มากก็น้อย แต่สมมุติว่า คุณได้พยายามทุกวิถีทางแล้ว เพื่อนของคุณก็ไม่ยอมทำอะไรตามคำชักชวนของคุณสักอย่าง คุณก็ไม่ต้องรู้สึกผิดว่า คุณช่วยเขาไม่ได้ ให้บอกตัวเองว่า คุณได้พยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้น จึงไม่ใช่ความผิดพลาดของคุณอีกต่อไป เพื่อนของคุณได้ตัดสินใจที่จะไม่ยอมรับความช่วยเหลือ และเขาก็ไม่ช่วยตัวเขาเอง ส่วนคุณก็หมดหน้าที่แล้ว อย่าให้การตัดสินใจของเพื่อนมาทำให้คุณรู้สึกไม่ดี กับตัวเองเป็นอันขาด และอย่าให้ปัญหาของเพื่อนมารบกวนจิตใจของคุณ พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าพยายามแบกความทุกข์ของคนอื่นไว้ในตัวคุณ เพราะลำพังแค่ความทุกข์ของตัวเราก็แย่มากพออยู่แล้ว ถ้าคุณเป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวง่าย คล้ายต้นไมยราบที่พอโดนลมพัดสักนิดก็หวั่นไหวเสียแล้ว คุณก็ยิ่งต้องระวังเมื่อไปเข้าใกล้คนที่มีอารมณ์ที่จะติดต่อคุณได้ง่าย เพราะคุณจะรับเข้ามาโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ คนประเภทนี้ทางจิตวิทยากล่าวว่าเป็นผู้ที่มีขอบเขตหรือตัวตน (BOUNDARY) ไม่ชัดจน คือไม่รู้ว่า เรื่องใดเป็นเรื่องของเรา และเรื่องใดเป็นทุกข์ของชาวบ้าน กล่าวง่ายๆ คือ เป็นพวกที่แยกแยะ ความเป็นตัวตนไม่ออก ฟังเรื่องของใครก็เก็บมาทุกข์ร้อนได้อย่างหมดจด บางทีเป็นทุกข์ "แทน" เจ้าทุกข์ตัวจริงเสียอีก มีลักษณะคล้ายเด็กๆ ที่ยังแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือเราคือเขา อะไรคือสิ่งแวดล้อม BOUNDARY ของเขาจะปะปนกันไปหมด เด็กเล็กๆ ที่เกิดมาทุกคนมีสภาพที่ยังไม่รู้ขัดว่า ตัวตนของเขาคือใคร เมื่อเขาเห็นแม่ในสายตาเขา จะรู้ว่าแม่อยู่ แต่เมื่อแม่เดินออกไปจากห้อง เขาคิดว่าแม่ของเขาไม่มีตัวตนอยู่เสียแล้ว แต่เด็กๆ ทุกคนเมื่อเขาค่อยๆ โตขึ้น เขาจะรับรู้ว่า เขาคือบุคคลอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่พ่อ พี่ หรือน้องของเขา เขาเริ่มมีความรู้สึกของตัวตนที่ชัดเจนมากขึ้น แต่สำหรับเด็กบางคน เขาจะถูกแม่หรือพ่อสอนให้ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง เช่น ถ้าเขาบอกแม่ว่าไม่ชอบคุณป้าที่มาล้อเขาเสมอๆ แม่ก็จะบอกว่าเขาไม่ชอบไม่ได้เพราะแท้จริงแล้ว ป้ารักเขา เขาจะถูกสอนให้เริ่มปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก และเมื่อเติบใหญ่เขาจะกลายเป็นบุคคล ที่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร และข้อสำคัญคือเขาจะไม่ไว้ใจความรู้สึกของตัวเองเลย คนประเภทนี้ เมื่อได้ฟังเรื่องอะไรของใคร เขาอาจจะบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร เขาอาจจะเอาความรู้สึก ของคนเล่าเรื่องมาเป็นเกณฑ์ความรู้สึกของตัวเองก็ได้ ถ้าคุณเผอิญเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใคร่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกอย่างไร ทางออกประการหนึ่งก็คือ เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ใครก็ตามเล่าให้คุณฟัง ให้ถามตัวเองเสมอว่า "ฉันรู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้" ถ้าคุณหัดถามตัวเองบ่อยๆ ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ คุณจะเริ่มรู้จักกับตัวเองและความรู้สึกที่แท้จริง ของตัวคุณมากขึ้น และเมื่อคุณรู้จักความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ความรู้สึกที่เกิดกับใจ ไม่ใช่ความรู้สึกที่คุณควรจะรู้สึก แล้วขั้นต่อไปก็คือ ให้คุณหัดที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกแท้จริงของคุณให้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่คุณไม่เคยได้ทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของคุณเลย การรู้จักตัวเอง ความรู้สึกที่แท้จริง และการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น อย่างยิ่งกับตัวคุณเอง และข้อสำคัญคุณจะได้ไม่ต้องไปผูกความรู้สึกของคุณไว้กับบุคคลอื่นอีกต่อไป
การติดต่อทางอารมณ์ เป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรจะต้องระวังเพราะมันมีทั้งผลดีผลเสีย ถ้าเป็นอารมณ์ที่เป็นพิษ และคุณรู้ตัวว่า คุณติดต่อกับอารมณ์เหล่านี้ได้ง่าย คุณก็คงจะต้องระวัง เมื่อคุณเข้าไปใกล้ผู้ที่มีอารมณ์เป็นพิษ เพราะคุณจะรับเชื้อเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว หรือถ้าคุณรู้ว่า เป็นคนค่อนข้างจะอ่อนไหวง่าย คุณคงจะต้องสร้างภูมิต้านทานให้ตัวเองให้ดีขึ้น
แต่ถ้าเป็นอารมณ์ในด้านบวก อารมณ์ที่ดีงาม เช่น ความสุข ความสบายใจ คุณอาจจะยินยอมให้ตัวเอง "ติด" และยอมเป็น "พาหะ" นำสิ่งที่สร้างสรรค์เหล่านี้ให้แพร่กระจายออกไปให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นหัวหน้าครอบครัว หัวหน้างาน ครูอาจารย์ อาจจะทำให้มากขึ้นเพราะใครเล่าจะรู้ว่า คำพูดให้กำลังใจ ความสุขหรือเสียงหัวเราะของคุณ อาจทำให้ชีวิตของคนบางคนเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิดก็เป็นได้

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

โบนัสของชีวิต

ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว หลายคนกำลังง่วนอยู่กับการมองหาของขวัญดีๆ ให้คนอื่น ก็อย่าลืมนึกถึงตัวเองด้วย ตลอดปีที่ผ่านมาบางคนตระเวนหาของอร่อยๆ รับประทาน ปีใหม่นี้ลองใช้เวลาล้างพิษเพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวเองดูบ้าง
ปกติร่างกายของคนเราจะมีกลไกที่วิเศษพอที่จะล้างพิษออกจากร่างกายตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าการหายใจ เหงื่อ การขับถ่าย และประจำเดือนของผู้หญิง
เมื่อร่างกายสำลักพิษ ก็มีกลไกพิเศษช่วยในการขับพิษผ่านทางไอหรือจาม เพราะร่างกายเรามีเชื้อโรคจำนวนมาก โดยเฉพาะแบคทีเรีย ถ้าสภาพร่างกายปกติก็จะมีวิธีควบคุมและกำจัดแบคทีเรียที่จะเป็นพิษออกไป
แต่เมื่อใดก็ตาม ร่างกายอยู่ในสภาพไม่สมดุล อาจมีอาการปวดหัวตัวร้อน ส่อเค้าว่ากำลังป่วย แต่คนส่วนใหญ่ก็จะเพิกเฉยหรือแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ด้วยการกินยาแก้ปวดหรือทายาแก้ผื่นคัน โดยไม่ได้หาสาเหตุที่แท้จริง
และยิ่งวิถีชีวิตรีบๆ เร็วๆ ในปัจจุบัน เร่งเร้าให้เรานำสารพิษเข้าสู่ร่างกายมากเกินอัตรา ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือขนมนมเนยต่างๆ นอกจากแคลอรีที่เกินความต้องการของร่างกายแล้ว ส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้ก็ยังเป็นพิษต่อร่างกาย อาหารอาจมีส่วนผสมของผงชูรสมากไป และกระบวนการขัดขาวของแป้งและน้ำตาล ยังรวมไปถึงสารแต่งรส แต่งกลิ่น สารให้ความหวาน ผักที่มียาฆ่าแมลง หรืออาหารสำเร็จรูปมีส่วนผสมของสารกันบูด เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก และมีสารพิษตกค้างจากการเลี้ยงสัตว์ระบบอุตสาหกรรม

ลองสังเกตตัวเอง
สารพิษที่ตกค้างอาจทำให้ร่างกายระคายเคือง อาจเป็นจุดกำเนิดของโรคร้ายหลายประการ ยิ่งรับประทานเนื้อสัตว์มากเท่าไหร่ ร่างกายก็ต้องใช้พลังงานมากในการย่อย และยังต้องขับสารพิษที่ตกค้างจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์
เนื่องจากลำไส้มนุษย์มีความยาวประมาณ 8.5-9 เมตร และสัตว์กินเนื้อจะมีลำไส้ที่สั้นเป็นพิเศษเพื่อจะขับถ่ายพิษอันเกิดจากการเน่าเสียของเนื้อออกมาให้เร็วที่สุด ถ้ามนุษย์รับประทานเนื้อสัตว์เข้าไป กากอาหารจากเนื้อเหล่านี้จะไปเน่าเสียคั่งค้างอยู่ในลำไส้เป็นเวลานาน ร่างกายก็จะดูดซึมสารพิษ อันเกิดจากการเน่าเสียนั้นเข้ากระแสโลหิต ก่อให้เกิดโรคต่างๆ นานา
อันที่จริงผักก็เน่าเสียเหมือนกัน แต่ช้ากว่าเนื้อสัตว์ ลองจินตนาการถึงการนำเนื้อสัตว์ หมูหรือไก่มาแช่ในตู้เย็น อุณหภูมิราว 4 องศาในเวลา 24 ชั่วโมง เนื้อก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำและมีกลิ่นเหม็น ในขณะที่เนื้อที่บูดเน่าอยู่ในร่างกายเราในอุณหภูมิ 37 องศา ก็ยิ่งเน่าเสียมากยิ่งขึ้น
เวลาที่สารพิษล้น แล้วกำจัดไม่ทัน และยังรับประทานอาหารเข้าไปอีก ร่างกายเตือนเบาๆ ก่อนเป็นโรคร้าย แต่ไม่ค่อยมีใครฟัง ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเหม็นๆ กลิ่นตัว คราบหินปูน กลิ่นฉุนรุนแรงจากระบบขับถ่าย บางคนก็ผมร่วง แต่เราก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการอาบน้ำแปรงฟันหรือฉีดน้ำหอม
ถ้าภายนอกร่างกายเหม็นขนาดนี้ ข้างในก็ไม่ต่างกัน เพราะทั้งด้านนอกและด้านในร่างกายเป็นผิวหนังผืนเดียวกัน แม้ร่างกายมีกลไกกำจัดสารพิษอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องร่วมมือกับร่างกายด้วย เหมือนช่วยกันสองแรงแข็งขัน ทั้งช่วยลดพิษในการเข้าสู่ร่างกาย และช่วยกำจัดมันออกไปด้วยการล้างพิษ
อาจลองสำรวจตัวเองดูว่า ถึงเวลาต้องออกแรงช่วยร่างกายหรือยัง เพราะบางคนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยโดยไม่มีสาเหตุ เป็นผื่นแพ้คันไม่หายเสียที
เมื่อพูดถึงการล้างพิษ ก็มีหลายวิธีด้วยกัน ทั้งการกินหรือการอดเพื่อล้างพิษ การสวนล้างลำไส้ ลองพิจารณาตามความสะดวกและเหมาะสมกับร่างกาย

กินผลไม้ล้างพิษ
กรรมวิธีล้างพิษง่ายๆ แต่อาจยากสักนิด ตรงที่ต้องทำใจ คือ อดอาหารแล้วกินผลไม้แทน นี่คือการอดเพื่อล้างพิษ อดคือกินให้น้อยลง ลดภาระของร่างกาย แทนที่จะต้องมาทุ่มเทพลังงานในการย่อยอาหารหนักๆ ก็ให้ร่างกายได้พักผ่อนซ่อมแซมตัวเองบ้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกลไกปกติสามารถขับสารพิษออกจากร่างกาย
ถ้าจะให้รางวัลตัวเองด้วยการกินเค้ก แม้จะมีรสชาติอร่อย แต่ก็ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเหมือนเดิม ลองปรับความคิดใหม่ว่า ร่างกายทำงานหนักทุกวันแล้ว ให้โบนัสร่างกายด้วยการกินผลไม้ 1 วัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน
ลองใช้สูตรง่ายๆ กินผลไม้แทนอาหารทั้ง 3 มื้อ อาจใช้ผลไม้ชนิดเดียวกันทั้งวัน คือ กินฝรั่งอย่างเดียวหรือมะละกออย่างเดียว แต่สำหรับผู้เริ่มต้นก็ทานผลไม้อะไรก็ได้คละกันไป เพียงแต่แยกชนิดแต่ละมื้อ อาจทานผลไม้รสหวานอย่างเดียว อย่างมะละกอกับมะม่วงสุก หรือทานผลไม้รสเปรี้ยวอย่างเดียว เพราะเอนไซม์ในการย่อยจะเป็นคนละชนิดกัน
“ถ้าตั้งใจจะให้ร่างกายพักผ่อนจริงๆ เพื่อให้ร่างกายใช้เอนไซม์ในการย่อยชนิดเดียว ก็เลือกทานแบบหวานอย่างเดียวหรือแบบเปรี้ยวอย่างเดียวในหนึ่งมื้อก็พอ” เพียงพร ลาภคล้อยมา วิทยากรจากธรรมชาติกับการเยียวยา แนะนำมือใหม่หัดอด
ถ้าหากหาผลไม้ปลอดสารพิษไม่ได้ จำต้องเลือกผลไม้ที่วางขายทั่วไป ก็ควรพิถีพิถันล้างให้สะอาด อาจล้างด้วยน้ำเกลือ ด่างทับทิม ผงฟู น้ำส้มสายชู ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ให้เลือกผลไม้ตามฤดูกาล ไม่จำเป็นต้องใช้ผลไม้ข้ามถิ่น อย่างพวกแอปเปิล แม้ว่าจะมีกากใยมาก แต่ผลไม้พวกนี้มาจากประเทศจีน กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองไทย ก็ใช้เวลานานกว่า 5-6 วัน เพราะขนส่งมาทางเรือส่งสินค้า แต่ถ้ากินมะละกอที่ตัดฉับจากข้างบ้าน แล้วปอกกินทันที หรือซื้อมาจากตลาดที่มีแหล่งปลูกไม่ใกล้ไม่ไกลบ้านเรา จะมีได้คุณค่าทางอาหารมากกว่า
เพียงพร บอกเทคนิคที่ช่วยเพิ่มกำลังใจว่า ให้เลือกวันที่มีความสำคัญสำหรับตัวเองในการอด เพื่อเป็นกำลังใจให้ทำให้ได้ อย่างเป็นวันเกิดของตัวเอง วันเกิดของพ่อแม่
“สำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน ก็ล้างพิษในวันหยุดจะดีกว่า ก่อนอดก็เตรียมตัวทำงานบ้านให้เรียบร้อย
วันที่อดให้หยุดพักผ่อนจริงๆ เพราะทานน้อย ก็ต้องใช้พลังงานน้อยๆ ด้วย ถ้าฝืนทำงานจะทรมาน หงุดหงิด” เพียงพร ว่า ถ้าจะอดอาหารล้างพิษเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง ก็อย่าฝืนตัวเองและรู้สึกทรมาน
เธอ บอกว่า ถ้าจะล้างพิษด้วยวิธีนี้ ก็ให้ทำใจให้พร้อม ถ้ารู้สึกว่าเป็นการทรมานตัวเองเกินไป ก็ให้หยุด เพราะถ้ารู้สึกว่าทำกับตัวเองเกินไป ก็จะเป็นสารพิษตกค้างในจิตใจ ไม่เป็นผลดีกับร่างกายอยู่ดี
หลายคนเริ่มต้นอดปีละ 1 ครั้ง เมื่อพบว่าเกิดความเบาสบาย มีความกระปรี้กระเปร่า หน้าตาสดใสมากขึ้น หลังการอด บางคนก็ขยับจำนวนเป็นเดือนละครั้ง หรือ สัปดาห์ละครั้ง เหมือนทำงานมา 6 วัน ก็ให้เป็นวันหยุด 1 วัน
การอดเพื่อล้างพิษด้วยการกินผลไม้ทดแทนอาหาร 1 วัน คนทั่วไปสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าจะทำอย่างต่อเนื่อง 2 - 3 วันหรือมากกว่านั้น ก็ต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับผู้ที่จะอดด้วยการดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำสะอาดแทนอาหาร

กินข้าวล้างพิษ
หลักการของการกินอาหารแมคโครไบโอติกส์ เน้นสูตรอาหารที่สร้างความกลมกลืนและสมดุลให้กับร่างกาย ปรุงอาหารให้มีความสมดุลหยิน-หยาง ความเป็นกรดเป็นด่าง และธัญพืชเป็นอาหารหลักที่เหมาะสมของมนุษย์
อาหารเป็นวัตถุดิบในการสร้างเลือด เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ร่างกาย กินอาหารสะอาดเลือดก็สะอาด เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดีขึ้น แต่ถ้ากินอาหารปนเปื้อนสารเคมีหรือสารพิษมากๆ เลือดก็จะด้อยคุณภาพ และมีผลทำให้ร่างกายทรุดโทรม
อาหารที่สร้างเลือดให้สะอาดคือ ธัญพืชธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง รวมถึงธัญพืชที่ไม่ขัดสีปรุงแต่ง
อาหารหลักของแมคโครไบโอติกส์แต่ละมื้อ เน้นธัญพืช 50% ของอาหาร น้ำแกงจืดใส่เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นหรือมิโซ 5-10% หรือประมาณวันละ 1-2 ถ้วย ผักประมาณ 25-30% ควรปรุงด้วยการนึ่ง ลวก อบ ต้ม หรือผัด โดยใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด ถั่ว 10% และสาหร่าย
อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารช้าๆ เน้นการเคี้ยวอย่างละเอียด เพื่อให้อาหารย่อยง่าย และถูกนำไปใช้อย่างมีประโยชน์กับร่างกาย ถ้าลำไส้สะอาด ก็ทำให้ Metabolism ดี กินแล้วจะให้พลังงานภายใน 3 นาที
น.พ. โอภาส นาหว่าน วิทยากรในคอร์สอาหารแนวแมคโครไบโอติกส์ เล่าถึงกระบวนการย่อยอาหาร ว่า ตรงผนังลำไส้เล็กจะมีปุ่มเล็กๆ คอยดูดซึมอาหาร ซึ่งปุ่มนั้นเล็กมาก อาหารที่กินเข้าไปต้องเล็กมากถึงจะสะดวกในการดูดซึม แต่คนทั่วไปมักเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด เมื่ออาหารลงไปถึงจุดที่จะดูดซึม ถ้าอาหารใหญ่เกินไป ก็จะดูดซึมไม่ได้ ร่างกายจำต้องย่อยให้เล็กลง และอาหารส่วนนั้นในร่างกายก็จะเน่าเสีย ส่วนอาหารที่ย่อยไม่ได้ ก็ค้างและเน่าเสียอยู่ตรงนั้น
สูตรล้างลำไส้ของแมคโครไบโอติกส์ คือ ข้าวกล้องโรยงาขาว ให้กินทั้ง 3 มื้อตลอด 10 วัน
“แค่ 3 วัน ก็จะเห็นความเบาสบาย และต้องเคี้ยวคำละ 50 ครั้ง หลังจากนั้นก็เริ่มขยับมาอีกสูตร มีอาหารชนิดอื่นๆ มากขึ้น มีผัก มีเครื่องปรุงบ้าง ถ้าปรับตัวออกมากินเนื้อเลยจะแย่ ต้องค่อยๆ ขยับ”
วิทยากรในการอบรมครั้งนั้นยังบอกอีกว่า ระหว่างการล้างพิษจะมีอาการขับพิษมาก มีอาการหงุดหงิดหิวโน่น นี่
“ก็ต้องถามตัวเองว่า ต้องการอะไร ถ้าต้องการจะทำความสะอาดร่างกายจริงๆ แนวทางอาหารแต่ละสูตร ก็ไม่มีใครผิดใครถูก อยู่ที่เราอยากได้อะไร ต้องการอะไรในอาหารแต่ละมื้อ”

ล้างลำไส้ด้วยกาแฟ
การสวนทวารเป็นการล้างพิษที่สะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่ เป็นวิธีที่มีการพูดถึงกันมาก โดยเฉพาะเมื่อ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ได้เผยแพร่แนวคิดชีวจิต ล้างพิษโดยการใช้กาแฟปริมาณ 800-1,500 ซีซี สวนเข้าไปในลำไส้ ช่วยขจัดพิษที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ กาเฟอีนจะถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดดำเข้าสู่ตับ เพื่อกระตุ้นการทำงานของตับมากขึ้น ช่วยขับพิษในตับได้ดีด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางธรรมชาติบำบัดบางศาสตร์ ก็ใช้น้ำสะอาดที่ใช้ดื่มมาสวนล้างลำไส้ปริมาณ 300-350 ซีซี เพราะวิธีการนี้ดูนุ่มนวลกว่า และไม่ทิ้งคราบกาแฟ ข้อสำคัญสามารถทำได้บ่อย
ของเหลวที่ใช้สวนล้างส่วนนี้จะเข้าไปทำความสะอาดลำไส้ โดยเฉพาะส่วนที่โค้งงอของลำไส้ ซึ่งเป็นเหตุให้ของเสียตกค้างและไม่ได้ถูกขับถ่ายออกมา และได้เปลี่ยนสภาพเป็นสารพิษให้ร่างกายดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดอีกครั้ง ทำให้ตับและไตต้องทำงานหนักในการขับสารพิษนั้นออกมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามการสวนล้างลำไส้ ก็ไม่ใช่เรื่องทำได้บ่อยๆ ควรปล่อยให้ลำไส้ทำงานตามธรรมชาติ และวิธีการนี้ ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะเด็กหรือผู้หญิงตั้งครรภ์ ฯลฯ
ของขวัญสำหรับปีใหม่นี้ ลองบรรจุโปรแกรมล้างพิษไว้เป็นโบนัสตอบแทนให้กับตัวเองดูบ้าง เตรียมทั้งกายและใจเพื่อสิ่งดีๆ ในชีวิต

โปรแกรมล้างใจ
คนเรามักจะมีหลายสิ่งหลายอย่างตกค้างอยู่ในใจ แม้วันเวลาจะผ่านพ้นไป อาจเป็น 1 เดือนหรือ 1 ปี บางเรื่องก็ยังรบกวนจิตใจ ปีใหม่นี้เอาฤกษ์เอาชัย นำสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต
เรื่องราวบางเรื่องทิ่มแทงใจ บางครั้งเราอยากลืม แต่ดูเหมือนมันยิ่งชัดเจนในความทรงจำ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความผิดพลาดในอดีต ความละอายต่อสิ่งที่เคยได้กระทำลงไปอย่างไม่ทันได้คิด
มีหลายคนให้ข้อคิดไว้น่าสนใจและมีทัศนะคล้ายๆ กัน ประภาส ชลศรานนท์ เขียนไว้ในคอลัมน์คุยกับประภาสในหนังสือพิมพ์มติชน และรวมเป็นเล่มชื่อ 'เท่าดวงอาทิตย์' และนักเขียนอีกคน รูธ ฟิเชล เขียนไว้ใน 'หากใจเราบางเบาดั่งขนนก' เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรลืม แต่ก็ถึงเวลาที่จะต้องให้อภัยคู่กรณีและให้อภัยตัวเอง ความเจ็บปวดจึงจะลดเลือนลงได้
รูธ ต้องจัดการกับความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ เพราะลูกชายของเธอฆ่าตัวตาย และเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการติดเหล้าและการหย่าร้างของเธอเกี่ยวข้องกับการตายนั้นด้วย
นอกจากการไปพบนักจิตบำบัด เธอได้ใช้เวลา 2-3 วันไปแคมป์ และเธอก็ได้ทบทวนสิ่งที่ได้ทำและไม่ได้ทำให้ลูกชาย แล้วพบว่าบางอย่างที่เธอทำไปนั้น ทำให้ลูกชายเธอไม่มีความสุข และเธอก็ปฏิเสธมันไม่ได้
"สิ่งหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ การให้อภัยตัวเอง จงปล่อยวางความละอาย และความรู้สึกผิดที่ตัวเองมีอยู่ เพราะมันทำให้จิตใจเรารับภาระหนักเกินไป และช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น" รูธ เขียนไว้อย่างนั้น เมื่อเธอยอมรับความจริงและให้อภัยตัวเอง
นอกจากแนะวิธีล้างพิษให้ร่างกายแล้ว เพียงพร ยังแนะวิธีล้างพิษให้จิตใจด้วย เธอบอกว่า ขณะที่ล้างพิษให้ร่างกายด้วยการอดอาหาร จะทานผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ ก็เป็นการล้างพิษให้จิตใจไปด้วย
"ระหว่างการอดอาหาร ก็ต้องอดความพึงพอใจไปด้วย คนอดอาหารได้ ก็เป็นคนที่เอาชนะตัวเองได้ ดังนั้นถ้าอดอาหารได้ จิตใจก็เข้มแข็งพอที่จะห้ามใจไม่วิ่งไล่ตามแฟชั่นมือถือรุ่นใหม่ โดยที่เครื่องเก่ายังใช้ได้"
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการชำระความรู้สึกที่รบกวนจิตใจ หากปล่อยไว้นานอาจเป็นสารพิษในจิตใจ
“อย่างถ้าวิ่งตามรถเมล์ไม่ทัน ก็ให้สูดหายใจแรงๆ สูดไปเลย แม้ตรงนั้นจะมีฝุ่นควันมากไปหน่อย อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าบังไว้ สูดหายใจแรงๆ ช่วยให้หายเหนื่อย แล้วยังได้กวาดความรู้สึกเสียดายทิ้งไปด้วย บ้านช่องห้องหับสกปรก เรายังต้องกวาดขยะทิ้งความรู้สึกเสียดายหรือไม่ได้ดั่งใจ มันตกหล่นอยู่ข้างในตัวเรา เราก็ต้องกวาดทิ้งไปด้วย” เพียงพร บอกว่า หายใจแรงๆ เหมือนเครื่องดูดฝุ่นที่จะดูดความรู้สึกแย่ๆ ออกจากจิตใจ

รมณ รวยแสน
หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนเรียบเรียงจากหนังสือธรรมชาติบำบัด

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

แรงดึงดูดของผู้ชาย 10 ประการ

(1) ความมั่นใจในตัวเอง
จริงอยู่ถ้าหน้าตาหล่อเหลา ความมั่นใจในตัว เองย่อมเพิ่มมากเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่หล่อละ จะมั่นใจกับเขาไม่ได้เชียว หรือ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า คุณก็ดูดี มีความมั่น ใจในตัวเองสูง ทำได้ทุกอย่างที่คนอื่นทำกัน และต้องพิสูจน์ว่าคุณทำ ได้จริงๆไม่ใช่ดีแต่ปาก พอเอาเข้าจริงกับไม่ได้เรื่อง การสร้างความมั่นใจ ในตัวเองมีหลายอย่าง เช่นหมั่นหาความรู้เสริมพิเศษให้ตัวเอง หัดยิ้มกับ ตัวเองในกระจก ทำอะไรหลายๆอย่างให้สำเร็จได้จริงๆเป็นรูปเป็นร่าง

(2) แรงดึงดูดทางเพศ
ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Sex Appeal ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความหล่อหรอกนะ มีผู้ชายเยอะแยะที่หน้าตาหล่อ แต่ไม่มีแรงดึงดูดที่ว่านี้เลยมีถมไป แรงดึงดูดทางเพศไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนลามก แต่หมายความว่าคุณเป็นคนสง่างาม จนคนรู้สึกว่าหาก อยู่ใกล้คุณคงเร้าร้อนทนไม่ไหว อะไรทำนองเนี่ย หรือที่วัยรุ่นเรียกว่าพวก ไม่หล่อแต่เร้าใจ

(3) ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
คือแม้ว่าคุณจะดูไม่ดีตราบที่คุณอยาก มีคู่ควงเป็นหญิงสาวสวยแล้วละก็ คุณต้องสร้างเอกลักษณ์ของคุณมาให้ โดดเด่นจงได้ อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้า อาจจะเป็นเรื่องของน้ำหอม หรืออาจเป็นเรื่องของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ที่ใครเขา ได้ยินเสียงหัวเราะจะนึกถึงคุณขึ้นมาทันที ทำอย่างไรที่จะยกระดับให้ตัว เองดูมีเอกลักษณะเฉพาะตัว แม้ว่าคุณจะใบหน้าตี๋ก็ตาม เอานาตี๋หล่อก็มีเยอะแยะไป

(4) ต้องมีความเป็นแมน
ความเป็นแมนนี่ดูเหมือนง่าย แต่พอทำจริงๆ มันยากเหลือเกิน ก่อนอื่นความเป็นแมนไม่ได้หมายความว่า คุณต้อง มีขนที่หน้าอกที่ดูเซ็กซี่ ไม่ได้หมายความว่าคุณมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ความ เป็นแมนหมายถึง คุณต้องมีนิสัยเป็นผู้ชาย ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง ไม่ใช่คนคิดจุกจิก น่าเบื่อ น่ารำคาญ พูดง่ายคือ มีความเป็นผู้นำ อยู่มากในตัวคุณ ความเป็นแมนสร้างได้ไม่ยากนักหรอก เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความ อดทนปรับปรุงตัวเองพูดจาเป็นผู้ใหญ่ พยายามสร้างขึ้นมาจากธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ถ้าเปรียบกับนักแสดง ก็เรียกว่าอินเข้าไปในบทละคร ทำนองนั้น

(5) พยายามดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย
ฟังดูเข้าที แต่พอทำ จริงๆก็ยากอีกนั่นแหละ ถ้าไม่พยายามหรือมองแต่ว่ามันมีความยาก เกินกำลังแต่แรกก็เลิกเหอะ ความจริงการทำชีวิตให้เรียบง่ายได้ คุณ จะดูเท่และเก๋มาก คุณสังเกตดูผู้คนรอบๆตัวคุณดูสิ ทุกวันนี้มีกี่ชีวิตที่ เรียบง่ายบ้าง พยายามกินให้ง่าย นอนก็ง่าย แล้วคุณจะดูดีขึ้นทันที ใครด่าหรือนินทาคุณ คุณก็เฉยๆ เสีย

(6) สลัดความเหงาให้เป็น
มีผู้ชายขี้เหงามากมายบนโลก ความเหงา ทำให้จิตใจระส่ำไม่เป็นปกติร้อนรน ลุกลี้ลุกลนบอกไม่ถูก ผู้ชายต้องเข้มแข็งรับได้ทุกสภาพ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะโน้มนำไปในทางทุกข์หรือสุข ก็ตาม บางคนทุกข์ก็เสียใจ ฟูมฟาย ตีโพยตีพาย พอสุขก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นจนเกินเหตุ ทำให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่ คนรู้ไส้รู้พุงหมดว่าคุณกำลัง เป็นอะไร มีบุคลิกที่แท้จริงเป็นแบบไหน จะต้องรู้จักการปล่อยวาง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทีละเปลาะ

(7) เป็นคนรักงาน
ไม่ใช่บ้างาน คือทำงานเป็นระเบียบและมีระบบ ในการวางแผนจัดการงานที่ดี สะสางงานไปทีละชิ้น มีแผนการณ์ล่วงหน้า รวมทั้งสนุกกับการทำงานอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ หมายความ ว่าคุณต้องแบ่งเวลาเป็น เวลางานเป็นเวลางาน ไม่เล่นหยอกล้อ นอกเวลางานก็อย่าคิดในเรื่องงานอีก

(8) ต้องสร้างชีวิตให้โรแมนติก
ชีวิตที่โรแมนติกไม่ได้หมายความว่า มีแต่ดอกกุหลาบและคำหวานตลอดเวลา เพราะของพวกนี้ถ้ามีให้กัน มากๆ ดูเหมือนกลายเป็นเสแสร้งไปทันที ผู้หญิงมักจะเคลิบเคลิ้ม ปลาบปลื้มกับคำถามที่ผู้ชายแสดงความห่วงใยเสมอ อาการโรแมนติก ไม่ใช่การนั่งอยู่หน้าแสงเทียน ทำตาหวานซึ้งเข้าหากัน แค่นึกถึงเธออย่าง จริงใจ น้ำเสียง แววตา และการกระทำต่างหากที่จะเป็นปัจจัยบอกว่าคุณ เป็นคนโรแมนติกหรือไม่

(9) การสร้างอารมณ์ทางเพศในบางขณะ
จะช่วยให้ผู้หญิงมองคุณเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า คุณต้องไปข่มขืนเธอ หรือขืนใจ หรือลวนลามเธอ อย่าไปทำอย่านั้นเด็ดขาด เพราะหล่อนจะขาด ความนับถือศรัทธาในตัวคุณทันที คุณต้องใช้สายตา วาจา และการแตะ กายเบาๆ โลมเล้าเธอแค่มองก็รู้สึกสะท้าน ไม่ต้องประกบริมฝีปาก แบบเมาท์ทูเมาท์หรอก

(10) คุณต้องสามารถสร้างอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาได้โดยธรรมชาติ
ธรรมชาติผู้หญิงทุกคนจะมีความอ่อนไหวระทวยระทดง่ายกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุ แห่งสรีระ หรือ จิตใจก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณอยากมีเสน่ห์มัดหัวใจเจ้าหล่อน ละก็ ต้องจับอารมณ์ของเธอให้อยู่ เพราะอารมณ์ของเธอเปรียบกราฟ ตรีโกณมิติ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสลับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา คุณ พยายามอ่านใจเธอให้ออก ซึ่งเท่ากับว่าคุณได้กำชัยชนะไว้ในมือแล้ว .....หมายความว่าคุณต้องมีความไวในอารมณ์ร่วมเร็วกว่าเจ้าหล่อน ถ้าจะให้ดีต้องทำเป็นแนบเนียน และไม่ให้เธอรู้ตัวว่าคุณถือไพ่เหนือกว่า

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

แนะข้อคิด คำสอน จากบทกลอนสุนทรภู่ ปรับใช้กับชีวิตปัจจุบัน

ในโอกาสที่ “วันสุนทรภู่” จะเวียนมาบรรจบครบรอบ ๒๑๙ ปีเกิดในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ นี้ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำเสนอแนวคิดที่ปรากฏในกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่ ซึ่งมักจะสอดแทรกข้อคิด คำสอน คติพจน์ทั้งทางโลกและทางธรรม อันสะท้อนให้เราได้เห็นถึงสัจธรรมแห่งชีวิต ซึ่งหลายๆเรื่องยังสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้ด้วย อยู่ที่ว่าท่านจะประยุกต์ให้เข้ากับเรื่องใด ดังต่อไปนี้
หากท่านเป็นชายหนุ่มที่ต้องการปฏิบัติตนเป็นคนดี และต้องการความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ท่านอาจจะเลือกคำสอนบางอย่างจาก สวัสดิรักษา อันเป็นผลงานที่ท่านสุนทรภู่ได้ดัดแปลงจากคำฉันท์โบราณที่อ่านยากให้เป็นคำกลอนที่อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งแต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ เป็นข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติของชายไทยสมัยโบราณ ได้แก่ ตื่นนอนแต่เช้า ห้ามโกรธ แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออกและทิศใต้ จากนั้นเสกน้ำล้างหน้าด้วยการสวดมนต์สามครั้ง แล้วให้พูดแต่วาจาดี เพื่อให้เป็นมงคล เพราะเชื่อว่าตอนเช้า ราศีอยู่ที่หน้า ห้ามภรรยานอนหลับทับมือและพาดเท้า อย่านอนข้างซ้ายผู้หญิง มักจะมีภัย ให้ตัดเล็บวันจันทร์หรือวันพุธ กันจัญไร ให้เริ่มเรียนวิชาความรู้วันพฤหัสบดี จะเจริญรุ่งเรือง ก่อนนอนให้แสดงความเคารพด้วยการกราบหมอนและสรรเสริญคุณบิดามารดา อาจารย์ให้เป็นปกติสม่ำเสมอ ห้ามร่วมเพศกับหญิงที่มีระดู เพราะอาจทำให้ตาย ตาบอด หรือเป็นฝีเป็นหนองได้ ห้ามฆ่าสัตว์ในวันเกิดจะเสียราศี มีทุกข์โศกโรคภัย และอายุจะสั้น ฯลฯ ซึ่งคำสอนเหล่านี้ แม้จะเป็นความเชื่อโบราณ แต่หากจะพินิจพิเคราะห์ให้ดีแล้วจะพบว่า ล้วนแต่เป็นการสอนให้เป็นประพฤติปฏิบัติดีทั้งกาย วาจาและใจ อีกทั้งเป็นการสอนให้รู้จักรักษาสุขภาพอนามัย และรู้จักระแวดระวังภัย ไม่ประมาท อย่างที่ว่า ห้ามนอนข้างซ้ายผู้หญิง เพราะสมัยก่อนผู้ชายต้องมีมีดดาบไว้ป้องกันตัว ถ้านอนข้างซ้ายผู้หญิง หากมีขโมยหรือโจรบุก มือขวาที่ติดกายผู้หญิงจะทำให้จับดาบไม่สะดวก และสู้โจรที่เข้ามาประชิดไม่ทันการ เป็นต้น
นอกจากความเชื่อใน“สวัสดิรักษา” แล้ว ในเรื่องพระอภัยมณี สุนทรภู่ยังสอนว่า “อันรักษาศีลสัตย์กัตเวที ย่อมเป็นที่สรรเสริญเจริญคน ทรลักษณ์อกตัญญุตาเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน ให้ทุกข์ร้อนงอนหง่อทรพล พระเวทมนตร์เสื่อมคลายทำลายยศฯ” และในเรื่องสิงหไกรภพ ยังบอกว่า “พระชนกชนนีเป็นที่ยิ่ง ไม่ควรทิ้งทอดพระคุณให้สูญหาย ถึงลูกเมียเสียไปแม้ไม่ตาย ก็หาง่ายดอกพี่เห็นไม่เป็นไร” ล้วนเป็นการสอนให้มีศีลมีสัตย์ และรู้จักกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีคุณและพ่อแม่ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมทุกยุคทุกสมัย เพราะทำให้สังคมโดยส่วนรวมดีขึ้นได้ ข้อสำคัญความรักของพ่อแม่นั้นไม่มีที่เปรียบได้ดังคำกลอนที่ว่า ”แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน” จากขุนช้างขุนแผน
ปัจจุบันเวลาไปไหนมาไหน ดูจะมีอันตรายไปหมด จนทำให้ไม่อยากออกจากบ้านไปไหนๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องไป ก็ให้คิดถึงคำกลอนของท่านที่ว่า “เมื่อถึงกรรมจำตายวายชีวี ถึงอยู่ที่ไหนไหนก็ไม่พ้น” จากสิงหไกรภพ และ”ไม่ถึงกรรมทำอย่างไรก็ไม่ตาย ถ้าถึงกรรมทำลายต้องวายปราณ” จากพระอภัยมณี ซึ่งข้อเท็จจริงนี้อ่านแล้วคงจะช่วยให้เราคลายวิตก กลัวน้อยลง และเกิดความเชื่อมั่นขึ้นไม่มากก็น้อย
การดำรงชีวิตทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่มีเรื่องให้เครียด ให้ทุกข์อยู่เสมอ ดังที่ท่านว่า “อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่างสงสัย” หรือ”วิสัยโลกโศกสุขทุกข์ธุระ ย่อมพบปะไปกว่าจะอาสัญ หรือ “อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์ ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน เหมือนกงเกวียนนำเกวียนเวียนระไว จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์” จากพระอภัยมณี หรือในสภาขุนช้างขุนแผนที่ว่า “โบราณท่านสมมุติมนุษย์นี้ ยากแล้วมีใหม่สำเร็จถึงเจ็ดหน ที่ทุกข์โศกโรคภัยร้อนค่อยผ่อนปรน คงพ้นโทษทัณฑ์ไม่บรรลัย” อ่านแล้วคงจะช่วยปลอบใจเราให้ปลงตกได้บ้างว่า ในโลกนี้ไม่มีใครจะทุกข์ตลอดกาล และไม่มีใครจะสุขอยู่ตลอดชาติ
สำหรับคำพูดนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างมิตรและก่อศัตรูให้เราได้ อีกทั้งยังเป็นเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น หากเราจะรู้จักใช้ถ้อยคำ ดังคำกลอนจากนิราศภูเขาทองที่ว่า “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” หรือจากเพลงยาวถวายโอวาทที่ว่า“อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ” หรือจากพระอภัยมณีที่ว่า “อันลมปี่ดีแต่เพราะเสนาะหู ที่จะสู้ลมปากยากนักหนา” ทั้งหมดล้วนสอนให้ตระหนักถึงคำพูดที่จะนำมาซึ่งลาภหรือความเสื่อมลาภได้ทั้งสิ้น
ในเรื่อง“ความรัก”นับว่าคำกลอนของท่าน สามารถแจงแจงและอธิบายคำว่า”รัก”ได้อย่างชัดเจนยิ่ง เช่น“เขาย่อมเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล” และ “อดอะไรจะเหมือนอดที่รสรัก อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา ไม่เห็นรักหนักสิ้นในวิญญา จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักทรวง”จากพระอภัยมณี หรือจากนิราศภูเขาทองที่ว่า“ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตจะคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน” หรือจากนิราศพระประธมที่ว่า“สารพัดตัดขาดประหลาดใจ ตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ” ซึ่งเป็นการบรรยายให้เราได้เห็นอาการของคนที่มีความรักว่าเป็นเช่นไร โดยเฉพาะผู้อยู่ในอาการ “อันโศกอื่นหมื่นแสนในแดนโลก มันไม่โศกลึกซึ้งเหมือนหึงผัว ถึงเสียทองของรักสักเท่าตัว ค่อยยังชั่วไม่เสียดายเท่าชายเชือน” จากพระอภัยมณี อันสะท้อนให้เห็นว่าพิษรักแรงหึงมีผลแค่ไหนต่อคนเรา
ส่วนคำสอนอื่นๆของท่าน ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอยังมีอีกมาก เช่น เรื่องวิชาความรู้ ท่านสอนไว้ว่า “มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี”หรือ “วิสัยคนทนคงเข้ายงยุทธ์ ฤทธิรุทแรงร้ายกายสิทธิ์ แม้เพลิงกาฬผลาญแผ่นดินสิ้นชีวิต อำนาจฤทธิ์ย่อมแพ้แก่ปัญญา”จากพระอภัยมณี ส่วนเสภาขุนช้างขุนแผน ก็กล่าวว่า “ลูกผู้ชายลายมือก็คือยศ เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน” หรือจากเพลงยาวถวายโอวาทก็ว่า “อันข้าไทได้พึ่งเขาจึงรัก แม้นถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณ” หรือ “อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย” เป็นการสอนให้เราเห็นความสำคัญของการศึกษาหาความรู้ ที่มีผู้เปรียบว่า เป็นทรัพย์ที่ติดกายเราจนตาย ใครก็ขโมยเอาไปไม่ได้
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งจากกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่ที่แม้จะประพันธ์ไว้เมื่อร่วม ๒๐๐ปีล่วงมาแล้ว แต่ก็ยังทรงคุณค่าอยู่เสมอ เพราะนอกจากถ้อยคำจะไพเราะสละสลวย คล้องจอง ง่ายต่อการจดจำแล้ว ยังเป็นคำสอนที่ให้ข้อคิด และแสดงสัจธรรมของโลกที่เราสามารถนำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยตลอดมา
กวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู มักจะสอดแทรกข้อคิด คำสอน คติพจน์ทั้งทางโลกและทางธรรม อันสะท้อนให้เราได้เห็นถึงสัจธรรมแห่งชีวิต ซึ่งหลายๆเรื่องยังสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้ด้วย อยู่ที่ว่าท่านจะประยุกต์ให้เข้ากับเรื่องใด ไม่ว่าจะเป็นข้อปฏิบัติตนของชาย เรื่องความรัก เรื่องการใช้วาจา ฯลฯ
หากท่านเป็นชายหนุ่มที่ต้องการปฏิบัติตนเป็นคนดี และต้องการความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ท่านอาจจะเลือกคำสอนบางอย่างจาก “สวัสดิรักษา” อันเป็นผลงานที่ท่านสุนทรภู่ได้ดัดแปลงจากคำฉันท์โบราณที่อ่านยากให้เป็นคำกลอนที่อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งแต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 เป็นข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติของชายไทยสมัยโบราณ


1. ตื่นนอนแต่เช้า ห้ามโกรธ แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออกและทิศใต้

2. เสกน้ำล้างหน้าด้วยการสวดมนต์สามครั้ง แล้วให้พูดแต่วาจาดี เพื่อให้เป็นมงคลเพราะเชื่อว่าตอนเช้า ราศีอยู่ที่หน้า

3. ห้ามภรรยานอนหลับทับมือและพาดเท้า

4. อย่านอนข้างซ้ายผู้หญิง มักจะมีภัย

5. ให้ตัดเล็บวันจันทร์หรือวันพุธ กันจัญไร

6. ให้เริ่มเรียนวิชาความรู้วันพฤหัสบดี จะเจริญรุ่งเรือง

7. ก่อนนอนให้แสดงความเคารพด้วยการกราบหมอน และสรรเสริญคุณบิดามารดาอาจารย์ให้เป็นปกติสม่ำเสมอ

8. ห้ามร่วมเพศกับหญิงที่มีระดู เพราะอาจทำให้ตาย ตาบอด หรือเป็นฝีเป็นหนองได้

9. ห้ามฆ่าสัตว์ในวันเกิดจะเสียราศี มีทุกข์โศกโรคภัย และอายุจะสั้น

คำสอนเหล่านี้ แม้จะเป็นความเชื่อโบราณ แต่หากจะพินิจพิเคราะห์ให้ดีแล้วจะพบว่า ล้วนแต่เป็นการสอนให้เป็นประพฤติปฏิบัติดีทั้งกาย วาจาและใจ อีกทั้งเป็นการสอนให้รู้จักรักษาสุขภาพอนามัย และรู้จักระแวดระวังภัย ไม่ประมาท อย่างที่ว่า ห้ามนอนข้างซ้ายผู้หญิง เพราะสมัยก่อนผู้ชายต้องมีมีดดาบไว้ป้องกันตัว ถ้านอนข้างซ้ายผู้หญิง หากมีขโมยหรือโจรบุก มือขวาที่ติดกายผู้หญิงจะทำให้จับดาบไม่สะดวก และสู้โจรที่เข้ามาประชิดไม่ทันการ เป็นต้นนอกจากความเชื่อใน“สวัสดิรักษา” แล้ว ในเรื่องพระอภัยมณี สุนทรภู่ยังสอนว่า “อันรักษาศีลสัตย์กัตเวที ย่อมเป็นที่สรรเสริญเจริญคน ทรลักษณ์อกตัญญุตาเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน ให้ทุกข์ร้อนงอนหง่อทรพล พระเวทมนตร์เสื่อมคลายทำลายยศฯ” และในเรื่องสิงหไกรภพ ยังบอกว่า “พระชนกชนนีเป็นที่ยิ่ง ไม่ควรทิ้งทอดพระคุณให้สูญหาย ถึงลูกเมียเสียไปแม้ไม่ตาย ก็หาง่ายดอกพี่เห็นไม่เป็นไร” ล้วนเป็นการสอนให้มีศีลมีสัตย์ และรู้จักกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีคุณและพ่อแม่ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมทุกยุคทุกสมัย เพราะทำให้สังคมโดยส่วนรวมดีขึ้นได้ ข้อสำคัญความรักของพ่อแม่นั้นไม่มีที่เปรียบได้ดังคำกลอนที่ว่า "แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน” จากขุนช้างขุนแผน
ปัจจุบันเวลาไปไหนมาไหน ดูจะมีอันตรายไปหมด จนทำให้ไม่อยากออกจากบ้านไปไหนๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องไป ก็ให้คิดถึงคำกลอนของท่านที่ว่า “เมื่อถึงกรรมจำตายวายชีวี ถึงอยู่ที่ไหนไหนก็ไม่พ้น” จากสิงหไกรภพ และ "ไม่ถึงกรรมทำอย่างไรก็ไม่ตาย ถ้าถึงกรรมทำลายต้องวายปราณ” จากพระอภัยมณี ซึ่งข้อเท็จจริงนี้อ่านแล้วคงจะช่วยให้เราคลายวิตก กลัวน้อยลง และเกิดความเชื่อมั่นขึ้นไม่มากก็น้อย
การดำรงชีวิตทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่มีเรื่องให้เครียด ให้ทุกข์อยู่เสมอ ดังที่ท่านว่า “อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่างสงสัย” หรือ "วิสัยโลกโศกสุขทุกข์ธุระ ย่อมพบปะไปกว่าจะอาสัญ หรือ “อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์ ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน เหมือนกงเกวียนนำเกวียนเวียนระไว จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์” จากพระอภัยมณี หรือในสภาขุนช้างขุนแผนที่ว่า “โบราณท่านสมมุติมนุษย์นี้ ยากแล้วมีใหม่สำเร็จถึงเจ็ดหน ที่ทุกข์โศกโรคภัยร้อนค่อยผ่อนปรน คงพ้นโทษทัณฑ์ไม่บรรลัย” อ่านแล้วคงจะช่วยปลอบใจเราให้ปลงตกได้บ้างว่า ในโลกนี้ไม่มีใครจะทุกข์ตลอดกาล และไม่มีใครจะสุขอยู่ตลอดชาติ
สำหรับคำพูดนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างมิตรและก่อศัตรูให้เราได้ อีกทั้งยังเป็นเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น หากเราจะรู้จักใช้ถ้อยคำ ดังคำกลอนจากนิราศภูเขาทองที่ว่า “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” หรือจากเพลงยาวถวายโอวาทที่ว่า “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ” หรือจากพระอภัยมณีที่ว่า “อันลมปี่ดีแต่เพราะเสนาะหู ที่จะสู้ลมปากยากนักหนา” ทั้งหมดล้วนสอนให้ตระหนักถึงคำพูดที่จะนำมาซึ่งลาภหรือความเสื่อมลาภได้ทั้งสิ้น
ในเรื่อง “ความรัก” นับว่าคำกลอนของท่าน สามารถแจงแจงและอธิบายคำว่า "รัก” ได้อย่างชัดเจนยิ่ง เช่น “เขาย่อมเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล” และ “อดอะไรจะเหมือนอดที่รสรัก อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา ไม่เห็นรักหนักสิ้นในวิญญา จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักทรวง” จากพระอภัยมณี หรือจากนิราศภูเขาทองที่ว่า “ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตจะคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน” หรือจากนิราศพระประธมที่ว่า “สารพัดตัดขาดประหลาดใจ ตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ” ซึ่งเป็นการบรรยายให้เราได้เห็นอาการของคนที่มีความรักว่าเป็นเช่นไร โดยเฉพาะผู้อยู่ในอาการ “อันโศกอื่นหมื่นแสนในแดนโลก มันไม่โศกลึกซึ้งเหมือนหึงผัว ถึงเสียทองของรักสักเท่าตัว ค่อยยังชั่วไม่เสียดายเท่าชายเชือน” จากพระอภัยมณี อันสะท้อนให้เห็นว่าพิษรักแรงหึงมีผลแค่ไหนต่อคนเราส่วนคำสอนอื่นๆของท่าน ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอยังมีอีกมาก เช่น เรื่องวิชาความรู้ ท่านสอนไว้ว่า “มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี” หรือ “วิสัยคนทนคงเข้ายงยุทธ์ ฤทธิรุทแรงร้ายกายสิทธิ์ แม้เพลิงกาฬผลาญแผ่นดินสิ้นชีวิต อำนาจฤทธิ์ย่อมแพ้แก่ปัญญา” จากพระอภัยมณี ส่วนเสภาขุนช้างขุนแผน ก็กล่าวว่า “ลูกผู้ชายลายมือก็คือยศ เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน” หรือจากเพลงยาวถวายโอวาทก็ว่า “อันข้าไทได้พึ่งเขาจึงรัก แม้นถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณ” หรือ “อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย” เป็นการสอนให้เราเห็นความสำคัญของการศึกษาหาความรู้ ที่มีผู้เปรียบว่า เป็นทรัพย์ที่ติดกายเราจนตาย ใครก็ขโมยเอาไปไม่ได้
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งจากกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่ที่แม้จะประพันธ์ไว้เมื่อร่วม 200 ปีล่วงมาแล้ว แต่ก็ยังทรงคุณค่าอยู่เสมอ เพราะนอกจากถ้อยคำจะไพเราะสละสลวย คล้องจอง ง่ายต่อการจดจำแล้ว ยังเป็นคำสอนที่ให้ข้อคิด และแสดงสัจธรรมของโลกที่เราสามารถนำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยตลอดมา

อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๔๘

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

เสน่ห์

เสน่ห์ทางกาย
เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆ ยากจะถอนสายตา หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด จับต้องได้ง่ายสุด เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆ ในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้ แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว
ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยะสงฆ์สาวก แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์
ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ “งดเว้น” ความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรกเน่าเหม็นจนเคยชิน กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงไหลยิ่ง
คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ มักมีอำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยากนัก

เสน่ห์ทางวาจา
เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น เช่น ฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคนฟังได้ พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด
เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสักประโยคสองประโยค การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์
เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธีรบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆ กัน นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้งสิ้น องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้

๑) ความไพเราะของแก้วเสียง เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย (เว้นไว้แต่จะหลงผิด พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)

๒) ลูกเล่นในการจำนรรจา เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจด้วยลีลาพูด คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน

๓) ความฉลาดเลือกคำ เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น

เสน่ห์ทางกระแสจิต

เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น เช่น แค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง
เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ และแม้คุณพบเจอจังๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน
จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์ ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน
ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ “วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิต” เพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น

ขอยกเฉพาะวิธีคิดหลักๆที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ดังนี้

๑) ความคิดเป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวน คือมีเป้าหมายปลายทางของความคิดชัดเจน มีลำดับที่จะไปให้ถึงจุดหมายอย่างแน่ชัด หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกราบรื่น ไม่วกวน และอยู่ใกล้คุณนานๆ อาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย

๒) ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ คือคิดเท่าที่จำเป็น สามารถเว้นวรรคความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตการเข้าออกอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติของสายลมหายใจตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด อยู่ใกล้คุณอาจพลอยสงบผาสุกตามไปด้วยชั่วครู่ และหากคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณนานพอ กลุ่มความคิดที่หนาแน่นของเขาอาจพลอยเบาบาง กลายเป็นคนไม่คิดมากตามคุณไปด้วยอย่างถาวร

๓) ความคิดมองโลกในแง่ดี คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ๆ ตามไปด้วย

๔) ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ คือมีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการให้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณเสียก่อนว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เห็นคุณเป็นที่พึ่ง (ขอให้ทราบว่าความเป็นที่พึ่งกับความเป็นคนรับใช้นั้นต่างกันนิดเดียว ระหว่างให้แบบใจอ่อนยินยอมไปหมด กับให้แบบใจดีมีความน่าเกรงใจ ศิลปะของการให้อย่างหลังจะมีเสน่ห์ ขณะที่การให้อย่างแรกจะดูไร้ค่าหรือถึงขนาดน่ารังแก)

๕) ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย คือไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด แต่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย เห็นกระจ่างที่มาที่ไปอันน่าเห็นใจของคนแสนเลวสักคน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่หวาดระแวง และบังเกิดความปรารถนาดีต่อคุณ หากเกลียดหรือคิดทำร้ายคุณได้แปลว่าต้องมีใจพาลสันดานหยาบเอาเรื่องทีเดียว

๖) ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกจากปัญหา ทำอะไรทำจริง พูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่ายๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงพลกำลัง ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จลุล่วง

๗) ความคิดยับยั้งชั่งใจ คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้หากเห็นว่าไม่ถูกไม่ชอบ หรือแม้พบสิ่งยั่วยุให้พยาบาทอาฆาตแค้น ก็ระงับความหุนหันพลันแล่นอยากโต้ตอบด้วยความรุนแรงเสียได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงขันติ ความอดทนทางใจ

๘) ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง คือไม่หลงตัว ไม่ปกป้องตัวเอง เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง ไม่ใช่ดีจริงด้วยการประกาศว่าข้าดีพร้อม ข้าทำอะไรไม่ผิดสักอย่าง ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาดทำชั่วบ้าง ก็มีระดับมโนธรรมสูงพอจะสำนึกผิดได้ด้วยตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์ กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าที่จะสำนึกผิด แล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ

๙) ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง คือความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกพร้อมจะมีอารมณ์ขัน นึกสนุก ไม่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย

๑๐) ความคิดแบบผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี ไม่มีใครอยากยืนอยู่ข้างคนแพ้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรีผู้อื่น ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา เกมธุรกิจ ตลอดจนกระทั่งเกมกิเลส คือถ้าเอาชนะกิเลสยากๆของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงใหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย


วิธีคิดแบบอันเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น จะบั่นทอนเสน่ห์ลง กล่าวคือกระแสความคิดจะเป็นแบบผลักไสให้ออกห่าง (ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ) หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ (ตรงข้ามกับพลังประทับใจ) หรือแบบระคายเคือง (ตรงข้ามกับพลังชะโลมใจ) เช่นต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและเสน่ห์ทางวาจา แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านมากๆเป็นนิตย์ ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ เป็นต้น

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

เลือกที่จะมีความสุข

ถ้ารู้จักดึงศักยภาพตัวเองมาใช้อย่างเต็มที่ มนุษย์เราก็จะสามารถทำอะไรได้มากมาย
คำพูดแบบนี้หลายคนได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่มีน้อยคนที่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นเป็นรูปธรรม นายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง กลุ่มที่ปรึกษา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข สามารถพูดคุยเรื่องนี้และยกตัวอย่างได้ชัดเจน


ชีวิตบางแง่มุมของเขาน่าสนใจ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหนังสือกว่า 20 เล่ม เล่มล่าสุด ตัดสินใจเลือกที่จะมีความสุข และช่วยทำเอกสารหลายชิ้นเพื่อใช้ในกระบวนการอบรมให้กรมสุขภาพจิต
เขามีบทบาทในการบรรยายและจัดคอร์สอบรมในการให้คำปรึกษาในหน้าที่การงานของกรมสุขภาพจิตและเป็นอาจารย์พิเศษทั้งมหาวิทยาลัยหัวเฉียวและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงใช้ศาสตร์ตะวันออกพวกไทเก๊ก ชี่กง และรำกระบอง นำมาปรับใช้กับผู้ป่วยหลายโรค ปรากฏว่า ผู้ป่วยหลายคนหายป่วยเร็วขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องรักษาผู้ป่วยทุกวันอังคารที่โรงพยาบาลยุวประสาทและจัดรายการวิทยุชุมชนคลื่นเอฟเอ็ม 89.25 เมกะเฮิรตซ์ ทุกวันพุธ เวลา ช่วงเวลา 14.30 น.


“เมื่อสิบปีที่แล้ว งานของผมต้องดูแลผู้สูงอายุ ก็เลยต้องค้นคว้าเรื่องการออกกำลังกาย ก็เริ่มไปเรียนไทเก๊กปีกว่าๆ เพื่อมาสอนผู้สูงอายุ แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ผมเรียน ทำให้เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานและการใช้สมอง แล้วได้ฝึกชี่กงเพื่อนำมาปรับใช้อีก ผู้ป่วยทางกายที่เกิดจากใจอย่างพวก ไมเกรน หรือความดันสูง ภูมิแพ้หรือความเครียด แม้กระทั่งผู้ติดเชื้อ เรามีงานวิจัยเรื่องนี้ เมื่อมีการฝึกพวกนี้ทำให้สุขภาพดีขึ้น “

ความสนใจเรื่องศาสตร์ตะวันออก ทำให้คุณหมอเทอดศักดิ์เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนไข้และตัวเอง และทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งไทเก๊ก ชี่กงและรำกระบอง
“เช้าๆ ผมก็ต้องฝึกไทเก๊ก กระบอง ชี่กง แล้วก็วิ่ง เราก็เลือกเฉพาะบางท่าบางลักษณะที่เหมาะกับเรา อย่างกระบองที่ใช้ 51 ท่ารวดเร็วมาก อาจฝึกไทเก๊กก็แค่สิบนาที ชี่กงก็ประมาณ 10-15 นาที เราก็ทำเพราะรู้สึกว่าได้ประโยชน์ ผมฝึกพวกนี้มานานกว่า 10 ปี ซึ่งการฝึกพวกนี้ไม่ใช่แค่นึกถึงข้อดีอย่างเดียว ยังมีข้อเสียด้วย ถ้าฝึกผิดแนวทางหรือฝึกมากไป ก็เกิดโทษได้ เคยมีบางคนฝึกชี่กงมากไป ทำให้มีประจุไฟฟ้าทั้งตัว สัมผัสกับวัตถุได้ยากลำบาก หรือบางคนอาจนอนไม่หลับ”

คุณหมอเทอดศักดิ์บอกถึงข้อเสียบางอย่างในการฝึกฝนชี่กง ซึ่งเมื่อก่อนเขายังมีเวลาเปิดคอร์สอบรมให้คนทั่วไป แต่ปัจจุบันสอนเฉพาะผู้ป่วยที่เขาดูแล เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก เขาบอกว่า คนที่มีอาการวิตกกังวล ใจเต้น ใจสั่น เหงื่อออก ต้องฝึกไทเก๊กแบบลูกบอลไทเก๊ก ตัวเขาเองเคยฝึกฝนแล้วพบว่า วิธีการนี้ดีพอๆ กับการใช้ยา

นอกจากการฝึกฝนทางกายแล้ว สมาธิแนวพุทธก็เป็นสิ่งสำคัญ คุณหมอให้เวลากับเรื่องพวกนี้เต็มที่ เขาอธิบายว่า ไม่ว่าศาสตร์ใดก็ตาม ไม่อาจตอบเป้าหมายของชีวิตได้ อย่างไทเก๊ก โยคะ ชี่กง ก็แค่ตอบคำถามขั้นพื้นฐานว่า เราจะทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ถ้าถามว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรศาสตร์พวกนี้ยังตอบคำถามไม่ได้ ต้องใช้พุทธศาสนา

การประยุกต์ทั้งเรื่องศาสตร์ตะวันออกและพุทธศาสนาในเบื้องต้น คุณหมอเทอดศักดิ์บอกว่า มีส่วนทำให้คนไข้ใช้ยาน้อยลง และพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น แต่ถ้ามองในมิติลึกลงไปต้องเรียนรู้แนวพุทธศาสนา
“ผมสนใจพุทธศาสนาตั้งแต่เด็กเพราะคุณพ่อ แต่ไม่มีใครสอน เราก็ศึกษาเรื่องพวกนี้เอง ถ้ามีเวลาก็จะไปปฏิบัติที่วัดบนเขาในจังหวัดหนองคาย การฝึกสมาธิทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ตัวเอง ต้องเข้าใจว่า สาเหตุที่คนเรามีศักยภาพจำกัดก็เพราะตัวเราเอง ทั้งๆ ที่คนเรามีศักยภาพมากมาย ยกตัวอย่าง บางคนมองโลกในแง่ร้าย บางคนทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่ตั้งเป้าหมายในชีวิต ไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ ผมก็เรียนรู้จากตรงนี้ ผมจะรู้ว่าวันนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง ผมจะมีเป้าหมายเสมอ”

หลักการง่ายๆ ของคุณหมอก็คือ ถ้าคนเราไม่มีเป้าหมายก็ยากจะพบกับความสุข เพราะคนเราจะไม่มีความสุขกับเหตุบังเอิญได้ ในระดับคนทั่วไปขอแนะว่า ควรตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณให้ได้ก่อน เช่น ตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือวันละ 50 หน้า ก็ต้องอ่านให้ได้ 51 หน้า เพื่อให้เกิดความเคยชินว่า เราทำได้มากกว่าที่ตั้งใจ โดยเฉพาะคนเบื่องาน คือ ตื่นมาแล้วไม่อยากไปทำงาน เพราะไม่มีแรงจูงใจในชีวิต เป็นโรคเรื้อรังของคนยุคปัจจุบัน

คุณหมอแนะว่า ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะอยู่ที่วิถีคิด อย่างคุณรอรถเมล์ คุณมีเป้าหมายอย่างไร ถ้าถามคนที่รอรถเมล์ เขาจะตอบว่า อยากให้รถเมล์มาเร็วๆ และมีที่นั่งว่าง
นี่คือความคาดหวังที่ผิด เพราะเป็นสิ่งคาดหวังที่ควบคุมไม่ได้ ใครก็ตามที่คาดหวังในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็มักจะผิดหวัง คุณหมอแนะว่า ควรตั้งเป้าหมายว่าถ้ารถเมล์มาคุณจะปักหลักอยู่ตรงไหน จะกระโดดขึ้นให้ทันอย่างไร ส่วนเรื่องมาเร็วหรือช้าไม่ใช่เป้าหมาย

อีกกรณีก็คือ เป้าหมายต้องสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างคนที่เข็นเปลคนไข้ เราพบว่า คนที่มีความทุกข์ เพราะหวังว่าวันนี้เปลจะว่าง ส่วนคนที่มีความสุขจะตั้งเป้าหมายว่า วันนี้ฉันจะเข็นได้กี่ราย คนที่ตั้งเป้าหมายได้สอดคล้องกับงาน ก็จะมีความสุข
เขาบอกว่า การอบรมเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาการของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของงานเขา เราจำเป็นต้องย่อยสลายวิธีคิดให้เป็นกระบวนการที่เรียนรู้ได้ เราต้องบอกว่าแต่ละอย่างมีการเรียนรู้และทดลองได้อย่างไร หรือมีเป้าหมายอย่างไร

“เวลามีคนถามว่า พนักงานไม่มีความสุขเพราะหาลูกค้าไม่ได้ เขาจะย้อนถามว่า แล้วมีใครบ้างที่มีความสุข คนเหล่านั้นคือคำตอบสำหรับเรา เหมือนคนเข็นเปลบอกว่า วันนี้เขาจะเข็นเปลได้สักแปดราย นี่คือคำตอบ พอเราได้คำตอบ เราก็เอาสิ่งเหล่านี้นำมาเป็นกระบวนการ ผมชอบคำพูดของเชลยศึกสงครามคนหนึ่ง เขาบอกว่าคนเราเลือกเหตุการณ์ไม่ได้ แต่เลือกความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตัดสินใจว่า สิ่งใดเลือกได้ อย่างการรอรถเมล์ จะรออย่างไร”

เมื่อถามถึงการนำธรรมะมาใช้กับชีวิต คุณหมอบอกว่า ปัญหาอย่างหนึ่งคือ คนมักจะใช้ธรรมะผิดเรื่อง มันก็เลยเกิดปัญหา ยกตัวอย่างการใช้อุเบกขาในสถานการณ์ที่ต้องใช้ความเมตตา อย่างมีพนักงานคนหนึ่งมาขอขึ้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ หัวหน้าจะใช้เมตตาหรืออุเบกขา ถ้าใช้อุเบกขาก็คือ นั่งฟังเฉยๆ ไม่สนองอะไร หรือตอบสนองอย่างมีความเมตตา กรณีแบบนี้ หัวหน้าอาจแนะว่า คุณลองทำงานแบบนั้นแบบนี้ แล้วจะสนับสนุนเต็มที่ ในกรณีนี้ต้องมีความกรุณาด้วย ไม่ใช่วางเฉย
อีกกรณีที่เขายกตัวอย่างคือ ปู่ย่ามักจะเลี้ยงลูกหลานดีเกินไป ถ้ารู้จักสอดแทรกให้พวกเขารู้จักความเพียรพยายามในการดำเนินชีวิต ลูกหลานก็ได้เรียนรู้มุมอื่นๆ บ้าง

เพราะฉะนั้นคุณธรรมเป็นเรื่องที่ดี แต่ถามว่าจะใช้อย่างไร แล้วผลเป็นอย่างไร ถ้าผลไม่ได้ดั่งใจ ก็อย่าไปโทษว่า คนอื่นผิดหรือคุณธรรมไม่สูง

อย่างเรื่องการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ก็มีคำอธิบาย คุณหมอยื่นช้อนมาให้ แล้วถามว่า คุณลองบิดเป็นเกลียวได้ไหม เราตอบว่า ได้ ถ้าช้อนไม่แข็งมาก เขาบอกว่า ตัวเขาเองลองบิดไปบิดมา ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

“สิ่งที่ผมให้ดูตรงนี้ก็คือ มนุษย์เรามีศักยภาพเยอะ เราสามารถบิดช้อนให้เป็นเกลียวได้ โดยเหตุผลสองประการคือ ข้อแรกต้องรู้ว่าทำอย่างไร (Know How) และข้อสอง ต้องเชื่อว่า Know How นี้เป็นไปได้ แต่ส่วนใหญ่มีข้อแรกไม่มีข้อสอง หรือบางคนอาจขาดทั้งสองอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ประสิทธิภาพของเราเพิ่มได้โดยสองข้อนี้ ต้องนำศรัทธามาใช้ให้เกิดประโยชน์”

คุณหมอยกตัวอย่างว่า เคยมีการทดลองในคนไข้ ถ้าเขามีใจเชื่อว่าจะหายป่วย โรคของเขาจะหายได้เร็วหรือช้าปรากฏว่า สามารถหายป่วยได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ ในกระบวนการทำงานของโรคภัยไข้เจ็บ เป็นไปได้ที่เราจะใช้ศักยภาพที่มีอยู่ แต่ต้องตัดสิ่งที่รบกวนศักยภาพของเราคือ 1.ความคิด ส่วนใหญ่ชอบคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ 2.ความเครียดอารมณ์ด้านลบ เราอาจตัดสินใจผิดๆ ในตอนนั้น ยกตัวอย่างบางคนถูกยึดรถ ก็อยากจะกระโดดตึกตาย ทั้งๆ ที่มีบ้านเหลืออยู่ และ 3. สภาวะจิตใจ หมายถึงภาครวมของตัวเรา จากพื้นฐานเดิมและสิ่งที่มากระทบ

ส่วนวิธีการที่จะทำบางอย่างที่หลายคนเห็นว่าทำไม่ได้ คุณหมอบอกว่า บางอย่างเกิดจากการเรียนรู้โดยทฤษฎีหรือข้อมูล บางอย่างก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีคำอธิบาย อย่างเรื่องการบิดช้อนให้เป็นเกลียว ต้องเชื่อก่อนว่า เราทำได้

“ผมก็เคยถามคนที่ทำได้ว่าทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องสร้างความเชื่อ ระหว่างนั้นเขาจับมันและลูบจนช้อนร้อน เพราะคนมีสมาธิ มือจะร้อน เขาก็ทำได้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ การบิดช้อนเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญเราต้องเชื่อว่า จะผ่านอุปสรรคในชีวิตไปได้ เราต้องเรียนรู้ Know How ผมเอาเรื่องพวกนี้ไปประยุกต์ใช้ สร้างกระบวนการเพื่อให้คนที่มีปัญหาผ่านอุปสรรคไปได้

ยกตัวอย่างมีหน่วยงานหนึ่งกำลังจะปลดพนักงาน 30 คน แต่ละคนจึงรู้สึกแย่ ถ้าสองปีไม่ได้ขึ้นเงินเดือนอาจต้องถูกปลด แต่ผมให้มองว่านี่คือโอกาส แล้วฝึกกระบวนการต่างๆ ให้ เช่น ตั้งเป้าหมายในชีวิต แล้วให้มองเหตุการณ์ในแง่บวก ให้เรียนรู้เข้าใจด้วยตัวเอง ใช้เวลา 1 เดือนครึ่ง เราพบว่า มีจำนวนมากกว่าครึ่งมองว่าการออกจากตำแหน่งคราวนี้เป็นเรื่องที่ดี มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ผมว่าเครียดมาก แต่วันหนึ่งได้ไปเดินเทเวศร์เห็นแม่ค้าหาบเร่คนหนึ่งมีลูกสาวคอยช่วยขายของ ทั้งๆ ที่ขายไม่ดีนัก แต่เธอก็ยังรู้สึกว่า ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นเอง เธอซื้อของกับแม่ค้าคนนั้น แล้วขอกอดลูกสาวแม่ค้าหนึ่งครั้ง เพราะทำให้เธอเข้าใจชีวิต” คุณหมอ ยกตัวอย่างคนที่สามารถตัดสิ่งที่รบกวนในชีวิตได้ แล้วคุยว่า
แม้กระทั่ง เรื่องความเครียดก็ต้องเรียนรู้ ต้องเรียนรู้ที่จะสังเกตตัวเอง อาจใช้วิธีการจดบันทึก แล้วจะรู้ว่า ตัวเรามีรูปแบบการทำอะไรซ้ำๆ ที่ทำให้ตัวเองลำบาก

“ผมให้คนไข้หญิงคนหนึ่งที่มักจะทะเลาะกับสามีเป็นประจำ เพราะเวลาจะออกไปไหน มักจะตกลงกันไม่ได้ ผมบอกให้เธอลองเปลี่ยนความคิดใหม่ บางครั้งอาจบอกสามีว่า “เห็นด้วยทำแบบที่เธอบอก” แล้วดูว่า จะเกิดอะไรขึ้น เธอย้อนว่า ทำแบบนี้ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เธอก็ลองปฏิบัติตามวิธีของคุณหมอ วันหยุดที่ผ่านมา เธอชวนสามีไปดูต้นไม้ที่สวนจตุจักร สามีบอกว่า "ไม่ไป จะไปมีนบุรี" เธอก็เลยบอกสามีว่า "ไปมีนบุรีก็ได้ ดีเหมือนกัน" ปรากฏว่า สามีตกใจมาก ทำไมภรรยาเปลี่ยนไป และคุณหมอบอกว่าให้สังเกตสามีว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร สุดท้ายสามีไม่กลับมาในห้องนั้น แต่ให้ลูกสาวมาบอกว่า "พ่อบอกว่า เสาร์นี้จะไปจตุจักรนะ” "

อย่างไรก็ตาม คุณหมอย้ำอีกว่า การปฏิบัติต่างจากเดิม ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลเสมอไป แต่อยากจะบอกว่า ชีวิตยังมีทางเลือกอีกหลายอย่าง

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

โรคห้ามใจไม่ได้

เคยเป็นบ้างไหมครับ ที่ต้องทำอะไรบางอย่างเพราะบังคับใจตัวเองไม่ได้ ก็รู้อยู่ว่าไม่ควรทำ แต่ก็ทำซ้ำๆ มีความต้องการที่จะทำซ้ำๆ เมื่อทำแล้วก็เสียใจบอกว่าจะไม่ทำอีก แต่ก็ยังทำต่อไป
วัยรุ่นบางคนบอกว่าบังคับใจไม่ให้รักเธอไม่ได้ ก็จะหัวปักหัวปำรักเธอต่อไป แม้ว่าเธอจะไม่รักเขา แต่เขาก็ยังรักเธอ ยังไปยืนรอหรือดักรอ ถึงแม้จะถูกว่าให้อายก็ยังทำ ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับใจไม่ได้
ผู้ใหญ่บางคนบอกว่าจะไม่ออกไปเที่ยวกลางคืน พอตกกลางคืนก็จะต้องออกไปเที่ยวทุกที แม้จะไม่มีเงินทองใช้จ่าย ก็ขอออกไปเดินดูในสถานที่เที่ยวกลางคืนที่เคยไปเที่ยวก็ยังดี ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับใจไม่ได้เช่นกัน
คนบางคนเจ้าระเบียบมาก ต้องการเป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ย้ำคิดย้ำทำ ขาดการแสดงออกที่อบอุ่นต่อคนอื่น มักจะสนใจในรายละเอียดของคนอื่น หรือสนใจกฎเกณฑ์กติกาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ต้องการให้คนอื่นทำตามเขาโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น พวกนี้จะอุทิศตนให้งานและผลงานของการทำงาน โดยไม่คำนึงถึงความสุขหรือคุณค่าของมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น ส่วนใหญ่มักตัดสินใจไม่ค่อยได้หรือตัดสินใจช้า เพราะกลัวการตัดสินใจผิด เจ้าตัวก็ทุกข์ คนข้างๆ ตัวก็รำคาญ นี่ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับไม่ได้เช่นกัน
ความต้องการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ โดยบังคับใจไม่ได้นั้น ทางจิตเวชเรียกว่าเป็นพฤติกรรมย้ำทำ (Compulsion) เชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็กที่ไม่เหมาะสม กล่าวคือ ในช่วงเด็กอายุ 2-3 ขวบนั้น เด็กจะมีความพอใจอยู่ที่ทวารหนัก เขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าที่สามารถครอบครองอุจจาระได้ จะถ่ายก็ได้หรือจะกลั้นไม่ให้ถ่ายก็ได้ เป็นการแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้ การกลั้นอุจจาระไว้เป็นการแสดงความก้าวร้าวชนิดหนึ่ง เพราะสามารถทำให้พ่อแม่ผิดหวังได้
วัยนี้เรียกว่าเป็น Anal Period เด็กจะรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของอุจจาระ เป็นความรู้สึกครอบครองสิ่งของครั้งแรก และเขาจะรู้สึกอยากเป็นเจ้าของอื่นๆ อีกด้วย เช่น ของเล่น
ถ้าความต้องการของเด็กถูกขัดขวาง เขาจะมีความคับข้องใจ (Frustration) เด็กวัยนี้ชอบการละเลงอุจจาระเล่นด้วย ถ้าพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงดุว่าเพราะรำคาญ หรือห้ามไม่ให้เล่นหรือทำโทษ เขาจะรู้สึกไม่พอใจ เกิดเป็นความคับข้องใจ อาจจะกลั้นอุจจาระบ่อยๆ หรือเกิดเป็นบุคลิกภาพที่ไม่ดีตามมา ที่เรียกว่าเป็น Anal Character เช่น เป็นคนหวงแหน เห็นแก่ได้ ขี้อาย ก้าวร้าว สกปรก เจ้าระเบียบ ใฝ่สมบูรณ์หรือมีความผิดปกติทางอารมณ์ต่อไป
พวกที่มีลักษณะความคับข้องใจจากการใช้ก้น (Anal Frustration) นี้ จะมีลักษณะบังคับใจตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องทำอะไรบางอย่างซ้ำๆ เพราะบังคับใจตัวเองไม่ได้ บางกิจกรรมเป็นความทุกข์มากๆ
โรค "ต้องทำ…เพราะห้ามใจไม่ได้" บางอย่างเป็นความผิดปกติมากๆ เช่น บางคนมีความต้องการจะดื่มสุราตลอดเวลา (Dipsomania) หักห้ามใจตัวเองไม่ได้กลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
ความหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเองอย่างผิดปกติ (Egomania) ย้ำคิดแต่เรื่องของตัวเอง ไม่สามารถเปลี่ยนแนวคิดไปสู่คนอื่นหรือธรรมชาติรอบๆ ตัวได้ พูดซ้ำๆ แต่เรื่องของตัวเองเป็นที่น่าเบื่อหน่าย รำคาญ แก่บุคคลรอบข้าง
หมกมุ่นกับเรื่องทางเพศอย่างมากผิดปกติ (Erotomania) วันหนึ่งๆ มีแต่เรื่องเพศ ทั้งความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม เสียเวลามากและไม่สร้างสรรค์
ความต้องการขโมยของโดยบังคับใจไม่ได้ (Kleptomania) ผมเคยมีคนมาปรึกษาว่า เขามักไปหยิบของตามห้างโดยบังคับใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนมีเงินและเป็นลูกคนมีชื่อเสียง ซึ่งน่าเห็นใจมาก เป็นสิ่งผิดกฎหมายและถ้าถูกจับได้ก็เป็นเรื่องน่าอาย
ความคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โต มีอำนาจ (Megalomania) ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นคนธรรมดาสามัญ เข้าข่ายคุยโต คิดใหญ่โตเกินความเป็นจริงและคิดตลอดเวลา

การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างผิดปกติ (Monomania)
ความต้องการที่จะร่วมเพศบ่อยๆ อย่างห้ามใจไม่ได้ในหญิง (Nymphomania) ความต้องการนี้สูงมาก และเธอจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ร่วมเพศ เช่น ให้ท่า ฉกฉวยโอกาส พบได้แม้แต่ในผู้หญิงชั้นสูง ร่ำรวยหรือมีการศึกษาดี
ความต้องการที่จะร่วมเพศโดยไม่สามารถยับยั้งได้ในชาย ก็เหมือนกับในเพศหญิงแลดูเป็นคนสำส่อน ห้ามใจไม่ได้ มักมากในเซ็กซ์ ไม่เคยหยุดและไม่เคยพอ
การอยากดึงผมหรือถอนผมอย่างบังคับใจไม่ได้ (Trichotillomania) บางคนถอนจนผมแหว่งเป็นวงกลม ต้องใส่ผมปลอม แต่ก็ยังห้ามใจไม่ให้ถอนผมไม่ได้ ต้องมาปรึกษาแพทย์
การห้ามใจไม่ได้นี้เป็นเรื่องน่าเห็นใจมาก และทรมานใจตัวเองที่ไม่สามารถห้ามใจได้ อาการก็มีตั้งแต่น้อยๆ จนถึงมากๆ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความเจ็บป่วยทางจิต บางอย่างก็ผิดกฎหมาย บางอย่างก็น่าอับอาย
วิธีการรักษาและช่วยเหลือก็มีหลายวิธี ส่วนใหญ่จะใช้วิธีวิเคราะห์ทางจิตร่วมกับการใช้ยาช่วย และแนะนำให้มีวิธีระบายความก้าวร้าว หรือความย้ำทำอย่างเหมาะสม
ลองพิจารณาตัวเองซิว่ามีอะไรที่ย้ำทำบ้างไหม หรือมีสิ่งใดที่ต้องทำโดยไม่สามารถห้าใจตัวเองได้บ้างไหม ถ้าเลิกไม่ได้และเป็นอันตราย แก่ตัวเอง หรือน่าอับอาย ก็คงต้องปรึกษาจิตแพทย์แล้วละครับ
กรณีที่เข้ามาปรึกษาที่คลินิกบ่อยๆ ก็ได้แก่พวกที่ ถอนผมตัวเองบ่อยๆ ชนิดห้ามใจไม่ได้หยิบ หรือขโมยของตามห้างแบบห้ามใจไม่ได้ส่วนใหญ่บุคคลเหล่านี้มักจะมีฐานะดี ครอบครัวดี มีการศึกษา แต่จากการที่มีพ่อแม่เจ้าระเบียบมาก ชอบสั่งสอน ชอบตักเตือน หรือดุว่าลงโทษบ่อยๆ ตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้เด็กมีความกลัวการทำผิด ขาดความสุขในการดำเนินชีวิต วิธีที่จะหนีจากความรู้สึกไม่เป็นสุขในชีวิตจึงเป็นวิธีที่เขาพัฒนาขึ้นมาอย่างผิดๆ
พวกที่ถอนผมเป็นประจำรู้สึกว่าได้ลงโทษตัวเองและพ่อแม่ไปด้วย เพราะตัวเองก็จะไม่สวยและพ่อแม่ก็ต้องอับอาย
พวกที่ขโมยของตามห้างก็เหมือนกับการทำผิดเพื่อให้พ่อแม่อายและตัวเองอาจจถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น ซึ่งก็รู้ว่าไม่ควรทำ มันไม่ถูกต้อง มันผิด แต่ในจิตใต้สำนึกจะต้องการถูกลงโทษ แม้ว่าจิตสำนึกจะรู้ตัวว่าการกระทำสิ่งนั้นเป็นความไม่เหมาะสม และรู้ว่าไม่ชอบการถูกลงโทษก็ตามที
อาการย้ำทำเพราะห้ามใจไม่ได้นี้ คนภายนอกจะมองว่าน่าเปลี่ยนแปลงได้ง่ายหรือช่วยเหลือรักษาได้ง่ายๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะกลไกในการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนี้ มีรากฐานมาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็กโดยเขาไม่รู้ตัว และสะสมเอาไว้นานมาก
การอบรมเลี้ยงดูลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ลูกเติบโต สามารถพัฒนาจิตใจและพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม แต่ก็มีพ่อแม่ให้ความสนใจกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะนึกถึงการพัฒนาทางฝ่ายกาย หรือเชื่อเรื่องดวงชะตาของเด็กจากการทำนายทายทัก
ในสังคมเราจะเห็นผู้คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ แต่เชื่อถือในสิ่งที่ลี้ลับกันมากขึ้นและมีจิตใจที่พัฒนาไม่เหมาะสมมากขึ้น ความเจ็บป่วยทางจิตใจหรือทางจิตเวชจะมีมากขึ้นๆ
คนยิ่งอายยิ่งไม่กล้าไปปรึกษาผู้รู้ ก็จะสะสมความเจ็บป่วยเอาไว้มากขึ้นๆ ขนาดคนดีๆ หลายๆ คน เตรียมไปอยู่โลกอื่นกันแล้ว เพราะเชื่อคำทำนายทายทักที่แปลกๆ
สังคมของคนคิดแปลกๆ และทำอะไรแปลกๆ จะมีมากขึ้นคอยดูซิ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องของจิต

กรรมหรือการกระทำต่างๆ ย่อมต้องมีผลที่เกิดจากการกระทำนั้นๆ ก่อนการกระทำจะมีความคิดเกิดขึ้นก่อน ความคิดเป็นเรื่องของ "จิต" ธรรมชาติของจิตคนเราจะไม่อยู่นิ่ง แกว่งไปมาสับสนวุ่นวาย ไปกับสิ่งที่มากระทบต่างๆ จิตจะคิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดมีผลต่อสุขภาพทั้งทางกายและใจ ความคิดด้านลบทำให้จิตวุ่นวาย หงุดหงิด สับสน วิตก กังวล ขุ่นมัว ฯลฯเป็นเหตุให้จิตเศร้าหมอง ซึมเศร้า กลุ้มใจ ฯลฯ เกิดความทุกข์ ความคิดด้านบวกทำให้จิตสงบ เย็น โล่งโปร่งเบาสบาย เป็นเหตุให้อารมณ์ดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส ฯลฯ เกิดความสุข ทุกข์หรือสุขจึงเกิดจากความคิดจากจิตของเรา ไม่มีใครคิดร้ายต่อเราแต่เราจะทำร้ายตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว เราจึงต้องรู้จักตัวเรา รู้จักจิตของเรา โดยการพิจารณาจิตของเรา ให้รู้สภาพจิต ให้รู้ทันจิตของเรา โดยให้มี "สติ" คือรู้ ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้ขณะนี้เราคิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ จะยืน เดิน นั่ง นอน พูด โกรธ ฯลฯ ก็ให้มีสติรู้ ฝึกให้รู้ตัวอยู่ทุกขณะ เมื่อมีสติก็จะมีความคิดเกิดเป็นปัญญาขึ้น สติเป็นเหตุให้ปัญญา สัมปชัญญะเกิดขึ้น จะกระทำสิ่งใดย่อมมีความระมัดระวัง รอบคอบ ไม่ประมาท กระทำอย่างมีสติ ไม่กระทำอย่างขาดสติ ย่อมเกิดผลดี
ธรรมชาติของคนเราทุกคนที่เกิดมาย่อมจะต้องมีโลภ โกรธ หลง (โลภะ โทษะ โมหะ) เป็นกิเลสที่ติดตัวมาด้วยกันทุกคน กิเลสอยู่ที่จิตหรือใจของเราอยู่ที่ตัวเรา เราจะมีสติควบคุมกิเลสได้มากน้อยแค่ ไหนแล้วแต่จิตของแต่ละคนกิเลสมีทั้งโทษและประโยชน์ กิเลสเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดทุกข์ สำหรับบุคคลทั่วไป เลิกกิเลสไม่ได้แต่สามารถลดได้ ละให้น้อยได้ ผู้ที่ละกิเลสได้มากทำให้ห่างจากความทุกข์มาก จนถึงจุดๆ หนึ่งหากจิตปราศจากกิเลสก็หมดทุกข์เปรียบเสมือนจุดของที่เส้นตัดกัน เท่ากับ 0 (จุดที่ไม่มีกิเลส) สภาพจิตที่ใกล้ 0 มากเท่าใดกิเลสก็ยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น ยิ่งห่างมากเท่าใดกิเลสก็ยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ โดยปกติแล้วคนที่มีสภาพจิตใกล้ 0 มากและห่าง 0 มาก จะมีจำนวนน้อยมาก ทุกข์เกิดขึ้นและมีอยู่ที่จิตของทุกคน โดยธรรมชาติหากเราต้องการดับทุกข์ ก็ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ ที่จิตของเรา เราต้องพิจารณาตัวเราเองอย่างไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างตัวเอง ให้รู้จักตัวเรา รู้จักจิตของเรา ยอมรับจิตของเรา จิตของเรามีกิเลสอยู่ในระดับใด ใกล้ 0 มากหรือห่างจาก 0 มาก มีความ "พอ" หรือยัง "ความพอ" ของเราสิ้นสุดแค่ไหน มีอีกเท่าไรจึงจะพอ ถ้าเรามีความพอแล้ว จิตเราจะลดกิเลสต่างๆ (โลภ โกรธ หลง) ลงได้ส่วนหนึ่ง จิตก็จะสงบขึ้น เย็น โล่ง โปร่งเบาสบายขึ้น ทำให้มีความสุข
นักปราชญ์ได้กล่าวไว้ว่า "ผู้ที่ชนะใจตนเอง ย่อมชนะสิ่งทั้งปวง" แต่การที่จะชนะใจตนเองเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะต้องชนะกิเลสต่างๆ แต่ก็สามารถทำได้ โดยรูปแบบต่างๆ กัน รูปแบบหนึ่งคือการฝึกสมาธิ "สมาธิ" มีอยู่ที่จิตของทุกคน มากหรือน้อยไม่เท่ากัน จิตที่มีสมาธิเป็นจิตที่นิ่ง แน่วแน่ ความคิดไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระจัดกระจาย ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ คิดในสิ่งเดียว เรื่องเดียว ไม่สับสนวุ่นวาย ซึ่งเป็นสิ่งทำได้ยากสำหรับคนที่ไม่มีสมาธิหรือมีสมาธิน้อย จิตที่มีสมาธิเป็นจิตที่มีพลัง มีอานุภาพ มี"พลังจิต" หรือ "จิตตานุภาพ"พลังจิตที่มีอยู่หากไม่รู้จักเก็บรักษาก็จะหมดไปได้และเพิ่มได้ เหมือนกับเงินทองที่เราหามาใช้จ่าย ท่านลองทดสอบพลังจิตเบื้องต้นของท่านดู โดยการเรียกคนที่หันหลังอยู่ให้หันมาหาท่าน (ทำจิตให้เป็นสมาธิเรียกในใจ) เช่นบนรถเมล์หรือในโอกาสต่างๆ ที่หันหน้าไปทางเดียวกัน ถ้าเรามีพลังจิตเข้มแข็ง คนที่ถูกเรียกจะมีความรู้สึกเหมือนมี คนเรียกอยู่ด้านหลัง เขาก็จะหันหน้ามาตามเสียงเรียก หากได้ผลในระยะใกล้ให้ทดลองกับคนที่เรารู้จักแต่อยู่ห่างไกลกัน คนละสถานที่ ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนที่ท่านต้องการหรือไม่ (เจอกันสอบถามดู) หากไม่เกิดผลก็ไม่เป็นไร พลังจิตฝึกได้ เพิ่ม ได้ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการฝึกสมาธิของแต่ละคน ขั้นต้นดูความราบเรียบจิตของท่านว่ามีความราบเรียบเพียงใด และสามารถใช้วิธีการต่อไปนี้เพาะกำลังของจิตให้เพิ่มขึ้นได้ (หลวงวิจิตรวาทการ, 2531:28)
ขั้นที่ 1 เอาน้ำใส่ถ้วยแก้วให้เต็มหรือเกือบเต็มถ้วย ถือถ้วยแก้วด้วยมือขวานั่งตัวตรง ชูถ้วยแก้วให้สูงเท่าระดับสายตา เพ่งตาดูถ้วยแก้วจะเห็นความหวั่นไหวของน้ำที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ขอให้ตั้งใจบังคับน้ำบังคับให้นิ่ง มือถือถ้วยให้นิ่ง ตั้งใจบังคับแขน บังคับมือ และบังคับน้ำในถ้วยให้นิ่ง ด้วยการนึกเป็นคำพูดว่า นิ่ง นิ่ง นิ่ง ความสั่นสะเทือนของน้ำจะลดน้อยลง ทำเพียงหนึ่งนาทีหยุด แล้วทำ ใหม่เปลี่ยนทำด้วยมือซ้ายบ้าง และสังเกตว่ามือซ้ายกับมือขวาของเราข้างไหนมีความราบเรียบดีกว่า
ขั้นที่ 2 ทำแบบเดียวกับขั้นที่ 1 แต่ให้ยืนและใช้ใบไม้แห้งเล็กๆ ลอยไว้ในแก้วตั้งใจบังคับแขน บังคับมือ บังคับน้ำ บังคับใบไม้ ด้วยการนึกเป็นคำพูดว่า นิ่ง นิ่ง นิ่ง ทำเพียงหนึ่งนาทีแล้วหยุดและทำใหม่ เปลี่ยนทำแขนซ้ายบ้างแขนขวาบ้าง
ขั้นที่ 3 ใช้ถ้วยแก้วใส่น้ำเต็มถึงขอบปากถ้วย และใส่ใบไม้แห้งเหมือนขั้นที่ 2 แต่แทนที่จะถือถ้วยแก้วนิ่งอยู่เฉยให้เคลื่อนมือที่ถือถ้วยแก้วเป็นวงกลม ขณะที่เคลื่อนมือนั้นต้องบังคับน้ำให้นิ่ง แม้จะเคลื่อนไปมาก็ให้ความสั่นสะเทือนน้ำน้อยที่สุด ฝึกหัดทั้งสองมือ เมื่อได้ผลเป็นที่พอใจแล้วจึงไปขั้นที่ 4
ขั้นที่ 4 ใช้ถ้วยแก้วใส่น้ำและใบไม้เหมือนขั้นที่ 2 และ 3 มือถือถ้วยแก้วนั่งยองๆ บนพื้น ตั้งใจบังคับน้ำให้นิ่ง แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน โดยพยายามให้น้ำมีความสั่นสะเทือนน้อยที่สุด ยืนแล้วกลับลงนั่ง ๆ แล้วกลับยืนสลับกัน คราวนี้ขยายเวลาจาก 1 นาทีเป็น 2 นาทีแล้วหยุดเป็นพัก ๆ ส่วนใจบังคับนั้น ในขั้นที่ 4 นี้ต้องตั้งใจบังคับทั่วตัวเราว่ามีความหนักแน่น ราบเรียบ ไม่ใช่บังคับแต่มือและแขน ต้องนึกบังคับทั่วร่างกาย
แบบฝึกหัดทั้ง 4 ขั้นนี้ เป็นการฝึกหัดใจของเราให้แน่วแน่ เป็นสมาธิ เป็นการสร้างอำนาจของจิตให้จิต มีความหนักแน่นมั่นคงและแข็งแรงภาพประกอบขั้นที่ 4 พยายามฝึกหัดครั้งละ 7 วันหรือใช้เวลา 15 วัน สำหรับฝึกขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 สลับกันไป แล้วจึงฝึกขั้นที่ 3 และขั้นที่ 4 ขั้นละ 7 วัน แล้วท่านจะเห็นผลเพียงแค่ 7 วันแรกจะรู้สึกว่ามีอะไรดีขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ท่านทำแบบฝึกหัดนี้ครบ 4 สัปดาห์ก็ยิ่งเห็นผลดีมากขึ้น ถ้าท่านเป็นคนที่มักตื่นเต้น ตกใจง่ายลักษณะนั้นก็จะหายไป ถ้าท่านกลัวอะไรโดยไม่มีเหตุผลหรือสะดุ้ง หวาดกลัวอยู่เป็นนิตย์ ลักษณะอันนี้จะลดน้อยลง และถ้าท่านฝึกหัดต่อไปอีกก็จะเห็นผลดีมากขึ้น จนถึงจุดหนึ่งจิตจะไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หวั่นไหวเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย ไม่เศร้าโศก ไม่ขุ่นหมอง ปลอดโปร่งอยู่เสมอ เป็นมงคลอันสูงสุด ดังที่ปรากฏในมงคลสูตรว่า


พลังจิตที่มีอยู่หากไม่รู้จักเก็บรักษาจะทำให้ลดน้อยหรือหมดไปได้การกระทำต่อไปนี้ เป็นต้นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้สูญเสียพลังจิต ตัวอย่างเช่น ความโกรธ การโต้เถียงการพูดซุบซิบ พูดกระซิบกระซาบ การนั่งกระดิกเข่าฯลฯ

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

เรียนรู้ชายเข้าใจหญิง

สัมพันธภาพระหว่างชายหญิงนั้น แท้จริงแล้วควรจะเป็นเรื่องที่สวยงามและนำมาซึ่งความสุขสมของสัมผัสแห่งความรักที่ก่อเกิดขึ้นในดวงใจของคนทั้งสอง แต่ใช่ว่าสัมพันธภาพดังกล่าวจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเหมือนดังที่หวงและตั้งใจเอาไว้

...หลายๆ ครั้ง สาวน้อยต่างแอบร้องไห้คนเดียว เมื่อเขาร้างราจากไป และสาวใหญ่ต้องถอนหายใจเงียบๆคนเดียว ก่อนจะเดินออกไปเผชิญความจริงที่ว่า...เมื่อเขาเป็นอื่น
ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น ?? ...เป็นคำถามที่คาใจเสมอๆ และเป็นมาในทุกยุคทุกสมัย
ทำอย่างไรชีวิตคู่จึงจะยืนยาวและเป็นสุขเหมือนใจฝัน... จึงยังคงเป็นคำถามอันดับหนึ่ง ในใจของผู้หญิงทุกคนมาตลอด ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด

คำตอบ... คงจะไม่มี นอกจากบอกว่า การเลือกคู่ชีวิตนั้น ยากกว่าการเลือกคู่นอนมากมายนัก คุณอาจจะหาคู่นอนได้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่ถ้าจะหาคู่ชีวิตให้ได้สักคนแล้ว ช่างยากเย็นกระไรเช่นนั้น และใครที่เคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้ คงจะมีคำตอบที่ดีแก่ตัวเองได้
หลายคนเขียนจดหมายมาถามหรือโทรศัพท์มาถามว่า ทำไมหมอ ผู้ชายจึงเปลี่ยนแปลงไป หลังจากอยู่ด้วยกันแล้ว ทำไมไม่เหมือนเดิม คำตอบก็คือ มีอะไรบ้างในโลกนี้ที่จีรังยั่งยืน นอกจากความตาย ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ใจของคนก็เช่นกัน วันนั้นยังรักกันอยู่ แต่วันนี้อาจจะไม่แล้ว และบางครั้งก็ยากที่จะบอกว่า ชายหรือหญิงเปลี่ยนไปก่อน

อีกหลายคนบอกว่า ถ้าจะมีชีวิตคู่ให้มีความสุข ก่อนจะอยู่กินกันควรจะเบิกตาให้กว้าง และหลังจากใช้ชีวิตคู่แล้ว พยายามปิดตาเสียบ้าง

พูดง่ายๆ ก็คือ ก่อนจะตกลงปลงใจกับใครสักคนหนึ่ง พยายามเบิกตาให้กว้างไว้ มองให้ดี ตรองให้ดี อย่าทำให้เหมือนที่เขาว่า "ความรักทำให้ตาบอด" การจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนหนึ่งนั้น ต้องอาศัย "รักแท้" แม้ว่ารักแรกพบอาจจะกลายเป็นรักแท้ในภายหลังได้ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ รักแท้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เกิดจากรักแรกพบ รักแท้ส่วนใหญ่ จึงเป็นความจริง แต่รักแรกพบส่วนใหญ่ เป็นสิ่งลวงตา คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำ!!

อยากจะเตือนคุณผู้หญิงว่า อย่าให้ความรักที่คุณมีต่อเขามาทำให้คุณตาบอดมืดมัว จนยอมเป็นของเขาก่อนเวลาอันสมควร ด้วยความคิดที่ว่า เขาน่าจะเป็นคนรับผิดชอบ เพราะรับรองได้เลยว่า บทพิศวาสที่คุณให้กับเขา หรือเขาปรนเปรอจนคุณหลงไหลได้ปลื้มไปกับเขาด้วยนั้น ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่า สัมพันธภาพของคุณกับเขาจะยาวนานตลอดไป และเมื่อความรักจืดจางไป พร้อมกับเวลาที่คุณกับเขาต้องจากกัน คุณจะรู้ว่าจริง!

มาตรฐานสองชั้น ในสังคมตะวันออกของเราก็ยังคงมีปัญหากับคุณผู้หญิงเสมอ เพราะรับรองได้เลยว่า โอกาสที่คุณจะเจอผู้ชายที่พร้อมจะรักคุณ เข้าใจคุณ และใช้ชีวิตคู่กับคุณอย่างสุขสมโดยบอกคุณว่า... แม้เธอผ่านชายร้อยชายฉันก็ยังรักเธอ คงจะเป็นภาพลวงตามากกว่าความเป็นจริง
ในคำพูดที่เขาบอกคุณว่า ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณนั้น สิ่งที่อยู่ในใจของเขาก็คือ เมื่อไรคุณจึงจะยอมเป็นของผม เพราะเขาต้องการสัมพันธ์ภาพทางกายด้วย ต้องขอแก้แทนผู้ชายบ้างเหมือนกัน ในกรณีนี้ว่า ไม่ใช่ว่าการที่ผู้ชายคิดจะมีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งกับผู้หญิง เป็นเรื่องที่ไม่ดีงาม แท้ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติการเจริญพันธุ์ที่ทำให้ผู้ชายคิดแบบนั้น

การที่ผู้ชายคิดอยากจะมีเซ็กซ์กับผู้หญิง จึงเป็นเรื่องของธรรมชาติ!! และการที่ผู้หญิงมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ก็เป็นไปตามที่ธรรมชาติเรียกร้องเช่นกัน ผู้หญิงเกิดมาเพื่อต้องการความรัก แสวงหาความรักความอบอุ่นจากใครสักคนหนึ่ง และเมื่อคิดว่า พบคนๆนั้นแล้ว เธอก็ยอมที่จะมีสัมพันธ์สวาทกับเขา เพื่อที่จะให้เขารักเธอตลอดไป ทั้งๆ ที่ ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น

ผู้หญิง จึงยอมมีเซ็กซ์เพื่อที่จะแลกกับความรัก ในขณะที่ผู้ชายขายความรักเพื่อที่จะมีเซ็กซ์??? คุณว่า ประโยคดังกล่าวนั้น เป็นความจริงหรือสิ่งลวงตา หลายคนคงจะพบกับคำตอบแล้วว่า...เป็นอะไร แต่ขอเรียนให้ทราบเลยว่า... เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจ ระหว่างบทพิศวาทที่ซาบซึ้งกับผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง กับเรื่องราวอื่นที่สำคัญกว่า โดยเฉพาะหน้าที่การงาน หรือสถานภาพทางสังคมแล้ว ผู้หญิงจะเป็นผู้ได้รับเลือก... เลือกที่จะถูกคัดออกไปจากชีวิตของเขา

นี่แหละครับชีวิต... บางครั้งมันก็โหดร้ายเกินไปกว่าจะเขียนให้อ่านกัน แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงวันยังค่ำ ไม่ได้เขียนให้คุณเกลียด ไม่ชอบ หรือไม่รักผู้ชาย เพียงแต่อยากให้ทราบว่า ความเป็นจริงของชีวิตคืออะไร และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การสำรวจทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ของชายชาตรีเมื่อปีที่ผ่านไปหมาดๆ นั้น ยังได้ผลตรงกันเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ชายกังวลสนใจมากที่สุดมาในทุกยุคทุกสมัยและไม่เคยเปลี่ยนใจเลยก็คือ ...ทำอย่างไร ผมจึงจะทราบว่า ผู้หญิงที่ผมจะมีสัมพันธ์ด้วย ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับใครมาก่อน นั่น ก็เป็นความจริงที่ไม่ใช่ภาพลวงตาเช่นกัน

คุณคงอยากถามว่า แล้วตอนนั้น มาบอกรักทำไมล่ะ ก็ตอนนั้นเขาก็รักคุณจริงๆ นี่นา ไม่ได้หลอกลวงคุณให้ไหลหลงเสียหน่อย แต่ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าความรักเมื่อเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมดับลงได้ และเมื่อความรักดับลงไปแล้ว แต่ละคนก็คงจะต้องไปตามทางของตัวเอง อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ และแล้วการเสียความบริสุทธิ์ ดังกล่าวก็เกิดขึ้นตามมาตรฐานสองชั้น!! เมื่อไรผู้หญิง จึงจะรู้จักปฏิเสธการมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่ไม่เป็นของคุณเป็นคนแรกบ้าง!! อดข้าวดอกนะเจ้าจะวางวาย ไม่ตายเพราะอดเสน่หาหรอก และถ้าคุณคิดว่าในยุคนี้ ถ้าจะหาชายแบบนั้นได้ยากแล้วละก็ อยู่อย่างเป็นคนโสดที่มีความสุข มีเพื่อนฝูงมากๆ ดีกว่า

เหมือนคำกลอนที่ว่า ...แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า...
แต่ถ้าคุณเลือก ผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่งมาเป็นคู่ชีวิตของคุณได้แล้ว ขอบอกคุณๆ เหมือนที่เคยสอนลูกสาวของผมเสมอๆ ว่า ในยุคนี้สมัยนี้หาผู้ชายที่ดีๆ และแท้ๆ สักคนได้ยากเข้าไปทุกวันแล้ว ถ้าแม้นหลุดเข้ามาในชีวิตแล้วละก็ ทำอย่างไรก็ได้ อย่าให้หลุดมือไปเลย แต่อย่าไปแย่งของคนอื่นเขา... เท่านั้นเอง
คุณต้องพยายามรักวันเติมวัน... เพราะผู้ชายของคุณขี้เหงาและมักจะขาดรักโดยไม่รู้ตัว รักเขา ให้กำลังใจเขา และยืนเคียงข้างผู้ชายของคุณในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเลวร้ายขนาดไหน เพราะเขาเป็นคนที่คุณเลือก THE SURRENDER WIFE จึงเป็นหนังสือที่คุณต้องอ่าน ถ้าคุณมีสามีที่แสนดีสักคน แต่ถ้าเขาคนนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณหวังและตั้งใจ รวมทั้งอาจนำมาให้ชีวิตคุณเลวร้ายลงไปกว่าเดิมแล้วละก็ คุณเท่านั้น...ที่จะเป็นคนตัดสินใจว่า ควรจะทำอย่างไรให้คนที่คุณสมควรให้ความรักมากที่สุด เพราะคนคนนั้นก็คือ...คุณนั่นเอง

ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า การครองรักครองเรือนย่อมประกอบด้วย ผู้ชาย ผู้หญิง และพยานรัก การแสวงหาความรักความผูกพันระหว่างคนสองคนที่มาอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตคู่กันนั้น หลายต่อหลายคน จึงแสวงหา...ลูกน้อย ไว้เป็นโซ่ทองคล้องชีวิตคู่ อยากจะบอกว่า ลูก นั่นแหละ ที่ทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกที่เป็นแม่ และลูกนั่นแหละ ที่ทำให้ผู้ชายที่มีคุณสมบัติจะเป็นพ่อ กลายเป็นคนนุ่มนวลโอบอ้อมอารี ด้วยความไร้เดียงสาที่ลูกๆ มีต่อพ่อ

การจะมีชีวิตคู่นั้น ลูกจึงเป็นคนที่จะเชื่อมสัมพันธ์ภาพระหว่างชายผู้เป็นพ่อ และหญิงผู้เป็นแม่เสมอ จึงควรที่จะเลี้ยงลูกด้วยความรัก ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว เลี้ยงดูให้ลูกๆ ทุกคน เห็นความรักที่สวยงามของพ่อแม่ ตั้งแต่พวกเขายังเล็กๆ เพื่อที่เขาจะได้เติบใหญ่ไปเป็น ผู้ชายที่แสนดี และผู้หญิงที่แสนจะน่ารัก และมีคู่ครองที่น่ารัก...ต่อไป